Saturday, July 4, 2020

อยากพูด - พูดเล้ย (Just Say It) : Cup of Tea

Picture Credit : http://clipart-library.com/tea-cup-clipart.html




เรามาคั่นกลาง Welcome on board กับ แนะแนวข้ามทวีป : so-called flight attendant กันด้วยคอลัมน์ "อยากพูด - พูดเล้ย (Just Say It)" กันดีกว่า ไม่ได้เขียนคอลัมน์นี้มานาน หาไอเดียกลับมาเขียนได้พอดิบพอดีกับ สำนวน(Idiom) หนึ่งในภาษาอังกฤษว่า "cup of tea" 

>>> Idiom <<<  อย่างที่รู้กันว่า Idiom นั้นเปลว่า "สำนวน" มันคือการใช้ภาษาแบบที่เจ้าของภาษาเค้าใช้กันนั่นเอง  สำนวนพวกนี้เอามาใช้แทนการอธิบายอะไรยาวๆได้เลย แบบพูดแล้วคือเข้าใจว่ามันหมายความว่าแบบนี้แบบนั้น ไม่ต้องพูดอะไรที่เป็นการอธิบายต่อแล้ว

ก่อนจะเข้าเรื่อง ขอเคลียร์ก่อนว่า "cup of tea" กับ "a cup of tea" นี่คนละความหมายนะ

"cup of tea" นี่คือสำนวนในภาษาอังกฤษที่จะเอามาขยายกันในคอลัมน์นี้
"a cup of tea" คือ ชา 1 ถ้วย หรือ ชาถ้วยนึง(ภาษาพูด)

แค่มีตัว a อยู่ข้างหน้า ความหมายก็ไม่ใช่สำนวนและ แต่จะตรงตัวตามที่ต้องการจะสื่อเลย เช่น

A cup of coffee - กาแฟ 1 ถ้วย
A glass of milk - นม 1 แก้ว

สำหรับผู้อ่านท่านใดที่ชอบศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง และพอจะอ่านภาษาอังกฤษเข้าใจได้เอง แนะนำกดโลดไปที่ลิงค์นี้ได้เลย >>> cup of tea <<< เป็นเวบที่เจอตอนผู้เขียนหาข้อมูลมา support การเขียนเรื่องนี้พอดี อธิบายไว้ชัดเจนมาก เพราะฉะนั้นการเขียนโพสต์นี้จะขออิงค์คำอธิบายตามเวบนี้เลย

สำนวน "cup of tea" นี้จะได้ยินบ่อยมากเวลาคุยกับเพื่อนต่างชาติ เป็นสำนวนที่ผู้พูดต้องการจะสื่อความหมายว่า ...

- มีความชอบในสิ่งนี้/สิ่งนั้น
- รสนิยมส่วนตัว, แนวของตัวเอง
- อะไรซักอย่างที่ทำแล้วเกิดความชอบ แล้วจะเลือกสิ่งนั้นให้กับตัวเองเสมอ

ตัวอย่างเช่น ลูกเรือบนไฟลท์พอเวลาหลังเสร็จเซอวิสแล้วจะว่าง ก็มักจะคุยกันถึงเรื่องการใช้เวลาว่างของแต่ละคน แบบวันไหนไม่มีบินแล้วไปทำไรกันบ้าง หรือเวลามีพักร้อนแล้วไปเที่ยวไหนกัน อันนี้ก็แล้วแต่เลย ใครชอบอะไรแบบไหน ส่วนใหญ่ก็จะคุยกันถึงกิจกรรมดังๆทั้งหลาย อย่างไปเที่ยวประเทศนั้นประเทศนี้ ไป shopping ที่นั่นที่นี่ ไปทะเลตรงนั้นตรงนี้ ไปกินอาหารร้านนั้นร้านนี้ ทุกคนก็จะแชร์ประสบการณ์กันแบบเรื่องเดียวกัน แนวเดียวกัน ประมาณเดียวกัน ผู้เขียนก็นั่งฟังไปเพลินๆไม่ออกความเห็นอะไร จนลูกเรือคนนึงถามผู้เขียนว่า "What about you?" แล้วเธอหล่ะ เมื่อมีคำเชิญมา ผู้เขียนก็ได้โอกาสพูดบ้าง เลยตอบกลับว่า "Me? Snowboarding is my cup of tea." ฉันเหรอ ชอบเล่นสโนว์บอรด์เป็นชีวิตจิตใจ แล้วทุกคนก็ทำหน้าแบบ เธอมาจากโลกไหนเนี่ย!? #บใจที่ชม


สำนวน "cup of tea" นี่เค้าบอกอีกด้วยว่าส่วนใหญ่แล้วจะใช้พูดเพื่อบอกในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบนั่นเอง เราต้องใส่ "not" เข้าไปด้วย กลายเป็น "not my cup of tea" ความหมายก็จะเปลี่ยนเป็น ...

- มีความไม่ชอบในสิ่งนี้/สิ่งนั้น
- ไม่ใช่รสนิยมส่วนตัว, ไม่แนว
- ทำแล้วไม่ชอบ ทำแล้วเบื่อ ไม่น่าสนใจ

ขอใช้ตัวอย่างเดิมเพื่อให้เกิดความเข้าใจง่ายๆ จากที่ผู้เขียนจะตอบกลับลูกเรือไปเลยว่าชอบเล่นสโนว์บอรด์เป็นชีวิตจิตใจมากกว่า ในที่นี้คือมากกว่าสิ่งที่พวกเธอทำกัน ผู้เขียนสามารถพูดได้อีกแบบว่า "Doing what you guys do is not my cup of tea." ก็คือไอ้ที่ชอบไปเที่ยวประเทศนั้นประเทศนี้ ไป shopping ที่นั่นที่นี่ ไปทะเลตรงนั้นตรงนี้ ไปกินอาหารร้านนั้นร้านนี้ อะไรพวกนี้อ่ะคือผู้เขียนไม่ทำเลย มันไม่แนว ไม่ใช่สิ่งที่ฉันจะทำนั่นเอง การตอบแบบนี้เดี๋ยวก็จะโดนถามอยู่ดีอ่ะ ว่า  "So what do you do then?" อ่าว แล้วทำอะไรอ่ะ ... conversation(บทสนทนา) มันก็จะต่อไปอีกยาวๆ

เรามาดูตัวอย่างที่เวบนี้เค้าใช้อธิบายกันบ้างดีกว่า ขออนุญาตแปลแบบภาษาพูดที่เข้าใจกันได้ง่ายๆ


Example Sentences

  1. This music is much more my cup of tea than this new stuff. เพลงนี้แหละแนวฉันเลย ชอบมากกว่าแนวอื่นๆอีก
  2. I enjoy museums, it is my cup of tea. ฉันชอบไปพิพิธภัณฑ์มาก
  3. Hiking is not my cup of tea, but my husband enjoys it. ฉันไม่ชอบการปีนเขา แต่สามีฉันชอบนะ
  4. The opera is not my cup of tea, but I can see how people may like it. โอเปร่านี่ไม่ใช่แนวฉันเลย แต่ก็พอจะเข้าใจว่าทำไมคนถึงชอบกัน
  5. That dress is really not my cup of tea. ชุดนั้นมันไม่ใช่รสนิยมฉันเลยจริงๆ
  6. I decided not to go to the restaurant with them, because eating spicy food isn't my cup of tea. ไม่ได้ไปร้านอาหารกับพวกเค้าหรอก ไม่ชอบกินอาหารเผ็ดๆ
Source: https://www.theidioms.com/cup-of-tea/

***เวลาจะใช้สำนวน "cup of tea" นี้อย่าลืม ใส่ คำแสดงความเป็นเจ้าของ(Possessive Adjectives) เช่น "my, your, his, her, their, our, its" ไว้ข้างหน้า "cup of tea" ด้วยนะ 

***ตอนท้ายของเวบนี้ เค้ายังมีประวัติสวยๆของสำนวน "cup of tea" มาเล่าสู่กันฟังด้วยนะ เค้าบอกว่า ถ้าไม่นับน้ำธรรมดาที่ดื่มๆกันเป็นปกติทุกวันเนี่ย ชาคือเครื่องดื่มที่ถูกบริโภคมากที่สุดในโลกเลย จะชาแบบไหนก็แล้วแต่คนชอบดื่มเลย ในช่วงปลายปี คศ. 1800 คนอังกฤษเริ่มใช้สำนวน "cup of tea" เวลาที่ต้องการจะบอกว่าชอบอะไร พอมาถึงปี คศ. 1920 คนอังกฤษถึงมาเพิ่มสำนวน "not my cup of tea" เวลาที่ต้องการจะบอกว่าไม่ชอบอะไร 

ก็เป็นความรู้เล็กๆน้อยๆกันไป กับ "cup of tea" และ "not my cup of tea" ใครชอบศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองคือแนะนำให้เซฟเวบนี้เก็บไว้เลย มีอะไรให้เรียนเยอะ ส่วนผู้เขียนคือเก็บไว้เป็น reference ส่วนตัวเวลาหาข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับสำนวนในภาษาอังกฤษ เดี๋ยวถ้าไปเห็นคำใหม่ๆ แล้วจะเอามาขยายนะ จริงๆแอบเห็นแล้ว 1 คำเหอะ "Crystal clear" คำนี้ก็เจอบ่อยอยู่ ไว้ค่อยมาเล่นกันใหม่ตอนหน้าแล้วกันนะกับ "อยากพูด - พูดเล้ย (Just Say It)"

ติดตาม "อยากพูด - พูดเล้ย (Just Say It)" ได้ที่
>>> รวมมิตร "เกร็ดภาษาน่ารู้ (Language Tips)" และ "อยากพูด - พูดเล้ย (Just Say It)" <<<

Friday, July 3, 2020

Welcome on board ตอนที่ 4 Breathe normally

***โปรดทำความเข้าใจก่อนอ่าน***

1. "Welcome on board" จัดทำขึ้นมาโดยคำแนะนำของอาจารย์เกรียงไกร ทองชื่นจิต อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาต่างประเทศของโรงเรียนราชีนีบูรณะ จ.นครปฐม เพื่อเป็นสื่อการเรียนการสอนเพิ่มเติมด้านวิชาภาษาอังกฤษให้กับทางโรงเรียนราชีนีบูรณะ จ.นครปฐม และสำหรับบุคคลที่สนใจทั่วไป ห้ามมิให้ทำการดัดแปลง ตัดต่อ หรือเพิ่มเติมเนื้อหาโดยไม่ได้รับอนุญาต


2. Safety Demo ชุดนี้ จัดทำโดยสายการบิน Virgin America ผู้เขียนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดทำหรือตัดต่อใดๆทั้งสิ้น หากเพียงแต่นำมาเป็นข้อมูลใช้ในการเขียนเพื่อให้ความรู้ในเรื่องของการบินเท่านั้น


3. อุปกรณ์นิรภัยและทางออกในกรณีฉุกเฉินที่เห็นใน 
Safety Demo ชุดนี้ ใช้ได้เฉพาะเครื่องบินรุ่นที่สายการบิน Virgin America  ใช้บินเท่านั้น ผู้อ่านควรให้ความสนใจในการดู safety demo ทุกครั้งที่บินกับสายการบินอื่นๆ เนื่องจากแต่ละสายการบินนั้นใช้เครื่องบินต่างรุ่นกัน ทางออกฉุกเฉินรวมไปถึงอุปกรณ์นิรภัยต่างๆที่ใช้ในยามฉุกเฉินนั้นอาจไม่เหมือนกัน

4. ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าผู้อ่านจะได้เกร็ดความรู้ไม่มากก็น้อยทั้งในเรื่องของภาษาอังกฤษและความรู้ทั่วไปในเรื่องของการบิน ทั้งนี้ทั้งนั้น ขอให้ผู้อ่านทุกท่านที่ต้องเดินทางไป-กลับโดยเครื่องบิน มีความราบรื่นและปลอดภัยตลอดการเดินทาง "Safe flight always" ~


....................................................................................




สรุปว่าก็ยังไม่ได้ไปบินนะ เพราะ Destination (จุดหมายปลายทาง) ที่จะไปนั้น ประเทศเค้ายังไม่เปิดเลย ไฟลท์ก็เลยต้องแคนเซิลไปตามระเบียบ มานั่งปั่น Welcome on board ตอนที่ 4 Breathe normally ต่อดีกว่า #ชิวววกับชีวิตออนกราวน์ 

ตอนที่ 4 นี้จะเริ่มตั้งแต่นาทีที่ 1.38 ไปจบที่นาทีที่ 2.01 เนื้อเพลง(Lyrics)ของตอนนี้ มีอยู่ว่า 

>>> Yo Yo Yo.

Now that you’re bopping your head to the rap scene.

Now that your eyes are glued to the flat screen.

If the cabin pressure’s changin’, you know that we won’t be, leavin’ you hangin’.

Pull your mask down first, don’t worry oxygen flows.

Tighten the straps after placing on your mouth and your nose.

If you’re traveling with someone, like a child for instance, put your mask on first before your offer assistance<<< 

เลือกมา 7 คำด้วยกันในตอนนี้ ไปดูกันเลย

bopping 
มีรากศัพท์มาจากคำว่า >>> bop <<< คือ เวลาที่เราเต้นหรือโยกไปตามจังหวะเพลง ในที่นี้อยู่ในรูปของ V. -ing เพื่อเข้ากับรูปประโยคที่ต้องการจะบอกว่า "Now that you’re bopping your head to the rap scene." คือ "มาถึงตอนนี้คุณกำลังโยกหัวไปตามจังหวะเพลงแร๊พ"

glued 
มันคือ >>> glue <<< ที่ทุกคนรู้ว่าแปลว่า กาว (noun) แต่ถ้าเอา glue มาใช้ในรูปแบบของคำกริยา มันจะแปลว่า ติดด้วยกาว/ทากาว พอเอามาใช้กับประโยคนี้ "Now that your eyes are glued to the flat screen." แปลได้ว่า ตาของคุณนั้นติดอยู่กับหน้าจอทีวี นั่นเอง แถมคำว่า flat (แบน) หน้าคำว่า screen (หน้าจอ) เข้ามาด้วย ให้รู้ว่าเป็๋น ทีวีจอแบน ในที่นี้คือหน้าจอมอนิเตอร์ส่วนตัวที่จะอยู่ตรงหน้าที่นั่งของเราเลย 
***Eyes are glued to ... คือ สายตาจดจ้องอยู่กับ ... 

cabin pressureตรงตัวเลย คือ "ความดันในห้องโดยสาร" ทำให้ทุกคนหายใจได้แบบปกติเวลาที่เราอยู่บนฟ้านั่นเอง ถ้าไม่มี cabin pressure ตัวนี้คือขึ้นไปก็หายใจไม่ออก สลบเหมือดเลย 

*** ขอแทรกตรงนี้เลยแล้วกันเรื่อง cabin pressure ว่าเวลาที่เกิดเหตุฉุกเฉินเมื่อเครื่องบินสูญเสียระดับความดันในห้องโดยสาร เครื่องบินจะลดระดับลงทันทีเหมือนเราเล่นรถไฟเหาะตีลังกาขาลงอ่ะ แบบนั้นเลย สำคัญที่สุดคือ หน้ากากออกซิเจนที่ถูกเก็บอย่างดีบนเหนือศรีษะของเราจะถูกปล่อยออกมา ผู้อ่านท่านไหนมีโอกาสได้ไปอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ขอแนะนำด้วยความหวังดีว่าสิ่งแรกที่ต้องทำคือ ดึงหน้ากากออกซิเจนที่หล่นลงมาแล้วสวมเข้าหน้าทันที ไม่ต้องคิดอะไรแล้ววินาทีนั้น เพราะว่าในระดับความสูงที่ 40,000 ft เรามีเวลาอยู่แค่ 12 วินาที เท่านั้นก่อนจะหมดสติ ไม่ต้องไล่ตัวเลขอะไรกันมากมายให้ปวดหัวว่าบินสูงระดับไหน แล้วจะมีเวลาแค่ไหนในการหายใจก่อนจะหมดสติ เอาแค่ให้มีสติและยังไม่สลบไว้ก่อนเป็นพอ ที่เหลือขอให้ฟังการประกาศจากกัปตันเท่านั้นว่าถอดหน้ากากออกซิเจนได้เมื่อไหร่ *** 

*** ใครสังเกตคำว่า changin'leavin’,  hangin’ มันคือการเขียนแบบย่อๆนั่นเอง ตัวเต็มๆคือ "changing, leaving, hanging" เค้าจะตัดตัว g ออกแล้วใส่เครื่องหมาย ' เข้าไปแทน เป็นอันรู้กัน การเขียนตัวย่อแบบนี้ไม่แนะนำให้เขียนในอะไรที่เป็น Official letter หรือ Business writing นะ 


"If the cabin pressure’s changin’, you know that we won’t be, leavin’ you hangin’." เลยแปลแบบเอาใจความได้ว่า "เราจะไม่ปล่อยให้คุณรอนานแน่นอนถ้าระดับความดันในห้องโดยสารเปลี่ยน "We won't be leaving you hanging." ก็เป็นสำนวนสั้นๆที่บอกว่าจะไม่ทำให้รอนาน ในที่นี้คือถ้าความดันในห้องโดยสารลดลงปุ๊บ หน้ากากออกซิเจนจะหล่นลงมาปั๊บ 

flows
>>> flow <<< ในที่นี้อยู่ในรูปแบบของคำกริยา เพราะมีการเติม s และข้างหน้าคือคำว่า oxygen (อยู่ในรูปแบบของ It) flow แปลว่า ไหล/ลื่นไหล "Oxygen flows" คือ มีการปล่อยออกซิเจนไหลออกมานั่นเอง  

"Pull your mask down first, don’t worry oxygen flows." เลยแปลแบบเอาใจความได้ว่า "ให้ดึงหน้ากากออกซิเจนลงมาก่อน ไม่ต้องห่วง มีออกซิเจนอยู่แน่นอน" 

straps
>>> strap <<< เป็นคำนาม (noun) แปลว่า สายรัด และเติม s เพราะมีสายรัดอยู่ 2 ด้านซ้ายขวานั่นเอง strap ถ้าเป็นคำกริยา คือการรัดสาย(อะไรซักอย่าง) ยกตัวอย่าง >>> strap yourself in <<< ในที่นี้คือ รัดเข็มขัด(นิรภัย)ให้กับตัวเอง ความหมายเดียวกันกับ "Put your seat belt on / Put on your seat belt"

"Tighten the straps after placing on your mouth and your nose." เลยแปลได้ว่า "ดึงสาย(หน้ากากออกซิเจน)ให้แน่นหลังจากใส่คลุมบริเวณปากและจมูกแล้ว"

for instance
>>> for instance <<< แปลว่า ตัวอย่างเช่น เป็นคำเชื่อมประโยค (Conjunction) ที่เหมือนกับคำว่า "for example" นั่นเอง

assistance
>>> assistance <<< เป็นคำนาม (noun) แปลว่า ความช่วยเหลือ อย่าไปสับสนกับคำว่า >>> assistant <<< นะ เพราะแปลว่า ผู้ช่วย และเป็นคำนาม (noun) เหมือนกัน 

"If you’re traveling with someone, like a child for instance, put your mask on first before your offer assistance." เลยแปลแบบเอาใจความได้ว่า "หากท่านเดินทางกับเด็ก ให้ท่านใส่หน้ากากออกซิเจนให้ตัวเองก่อน แล้วถึงค่อยช่วยเด็ก(คือช่วยใส่หน้ากากให้เด็ก)" 

***ผู้อ่านท่านใดคิดว่าทำไมไม่ช่วยใส่หน้ากากให้เด็กก่อน แล้วค่อยใส่ให้ตัวเองก็ได้ เราเป็นผู้ใหญ่กว่าตัวใหญ่กว่าต้องช่วยคนตัวเล็กก่อนสิ อันนี้คือถ้าอยู่ในสถานการณ์อื่นๆคืออนุโมธนาสาธุ แต่ถ้าเป็นเหตุการณ์นี้ขอเรียนแบบนี้ว่า เราต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน ถึงจะไปช่วยคนอื่นได้ เพราะถ้าเราสลบไปก่อน เราก็ช่วยใครไม่ได้เลยไง ***

Welcome on board ตอนที่ 4 Breathe normally เลยเป็นตอนที่เกี่ยวกับเวลาที่ความดันอากาศในห้องโดยสารลดลง แล้วทุกคนต้องสวมใส่หน้ากากออกซิเจนที่จะหล่นลงมาตรงหน้าเรา แล้วให้เรา "breathe normally" คือ หายใจแบบปกติ นั่นเอง 

*** เผื่อมีคนสับสน >>> Breathe <<< กับ >>> Breath <<<
Breathe เป็นคำกริยา แปลว่า หายใจ
ฺBreath เป็นคำนาม แปลว่า ลมหายใจ 
แนะนำให้เข้าไปที่ลิงค์ของ 2 คำนี้ แล้วไปกดฟังวิธีออกเสียงของทั้ง 2 คำ จะชัดเจนกว่า

พบกันใหม่ตอนหน้ากับ Welcome on board ตอนที่ 5 Life jacket under your seat


Safety Demo by Virgin America

Video Credit : Virgin America 


...........................................................................................




Welcome on board : Introduction 

Thursday, July 2, 2020

รวมมิตร "เกร็ดภาษาน่ารู้ (Language Tips)" และ "อยากพูด - พูดเล้ย (Just Say It)"

Picture Credit : https://www.vectorstock.com/royalty-free-vector/cartoon-glowing-yellow-light-bulb-vector-18016094



มาถึงหน้ารวมลิงค์อันสุดท้าย ขออนุญาตเอา 2 คอลัมน์เล็กๆมารวมตัวกัน ซึ่งเนื้อหาคือมีความใกล้เคียงกัน อยู่ด้วยกันได้ ย้อนเวลากลับไปดูแล้วแบบว่าไฟแรงเหมือนกันนะแต่ก่อน เขียนเยอะเลย มุกเยอะไปหน่อย แต่ก็หวังเหมือนเดิมตลอด ว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านไม่มากก็น้อย ส่งคำติชมได้ที่ skulligram@gmail.com นะ #ThankYou

"เกร็ดภาษาน่ารู้ (Language Tips)" 

เกร็ดภาษาน่ารู้(Language Tips) : กริยาวลี(Phrasal Verb)
เกร็ดภาษาน่ารู้(Language Tips) : 24/7 VS. 7-11
เกร็ดภาษาน่ารู้(Language Tips) : แผ่นอะไรสั่นได้!?
เกร็ดภาษาน่ารู้(Language Tips) : Are you driving? กับ Do you drive?
เกร็ดภาษาน่ารู้(Language Tips) : Can you drive?
เกร็ดภาษาน่ารู้(Language Tips) : "Have you ever ...?" กับ "Have you ...?"
เกร็ดภาษาน่ารู้(Language Tips) : "Welcome to Thailand." กับ "Welcome back to Thailand."
เกร็ดภาษาน่ารู้(Language Tips) : "sleep"
เกร็ดภาษาน่ารู้(Language Tips) : "boring" กับ "bored"
เกร็ดภาษาน่ารู้(Language Tips) : " Miss"
เกร็ดภาษาน่ารู้(Language Tips) : กริยาวลี(Phrasal Verb)
เกร็ดภาษาน่ารู้(Language Tips) : "gonna กับ wanna"
เกร็ดภาษาน่ารู้(Language Tips) : I'm going to ...
เกร็ดภาษาน่ารู้(Language Tips) : "I'm working on it."

"อยากพูด - พูดเล้ย (Just Say It)"

อยากพูด - พูดเล้ย (Just Say It) : Cup of Tea
อยากพูด-พูดเล้ย (Just Say It) : "I am drunk."
อยากพูด-พูดเล้ย (Just Say It) : "I promise, i will never let you down again"
อยากพูด-พูดเล้ย (Just Say It) : "Thank you" / "Thanks"
อยากพูด-พูดเล้ย (Just Say It) : "He's not gonna make it."
อยากพูด-พูดเล้ย (Just Say It) : "I've always been like this."

รวมทุกโพสต์ของ "คุณขอมา (Requested Topic)"

Picture Credit : https://www.pngitem.com/middle/hwJmhRi_make-a-change-on-raise-your-hand-clipart/





มาต่อกันที่อีกหนึ่งคอลัมน์ที่เขียนบ่อยอยู่ กับ "คุณขอมา (Requested Topic)" ขอมาคือจัดให้ หวังเหมือนเดิมเลยว่าคอลัมน์นี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านไม่มากก็น้อย ส่งคำติชมได้ทุกเรื่องที่ skulligram@gmail.com นะ #ThankYou


คุณขอมา (Requested Topic) : What time is it?

คุณขอมา (Requested Topic) : ขอแนวทำอย่างไรให้ชีวิตเป็นปกติสุข เมื่อ ณ ขณะนั้นกำลังอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์

คุณขอมา (Requested Topic) : Mute ที่แปลว่า ปิดเสียง อ่านว่าอย่างไร

คุณขอมา (Requested Topic) : รัฐประหาร "A coup d'état"

คุณขอมา (Requested Topic) : คำทักทาย (How to greet)

คุณขอมา (Requested Topic) : "trip up" ภาคตัดต่อ(แล้ว)

คุณขอมา (Requested Topic) : ประโยคที่ให้กำลังใจ หรือปลอบใจ

คุณขอมา (Requested Topic) : คำเชื่อมประโยค (Conjunction) เฉลยแบบฝึกหัด

คุณขอมา (Requested Topic) : คำเชื่อมประโยค (Conjunction)

คุณขอมา (Requested Topic) : Verb to be (จบและ)

คุณขอมา (Requested Topic) : Verb to be (ต่อ)

คุณขอมา (Requested Topic) : Verb to be

คุณขอมา (Requested Topic) : "Excuse me" กับ "Sorry"

คุณขอมา (Requested Topic) : 12 Reading (Page 69)

คุณขอมา (Requested Topic) : "Handmade but Made with Heart.

คุณขอมา (Requested Topic) : "Have a good time" and "Have a good trip."

คุณขอมา (Requested Topic) : Sequencing – How to use FIRST, NEXT, LAST and FINALLY

คุณขอมา (Requested Topic) : Telling the Time

คุณขอมา (Requested Topic) : "That's why"

คุณขอมา (Requested Topic) : "That's it." กับ "That's all."







Wednesday, July 1, 2020

รวมทุกโพสต์ของ "คำคมวันละนิด จิตแจ่มใส (A Quote A Day)"


Picture Credit : Stay Focused

ยินดีต้อนรับผู้อ่านทุกท่านสู่หน้ารวมทุกโพสต์ของ "คำคมวันละนิด จิตแจ่มใส (A Quote A Day)" พอดีผู้เขียนเพิ่งจะเริ่มมาฉุกคิดว่าทำไมถึงไม่ทำลิงค์รวมทั้งหมดของคอลัมน์นี้ ซึ่งเป็นคอลัมน์ที่ชอบที่สุดและเขียนเยอะที่สุดแล้วใน blog นี้ จึงเป็นที่มาของโพสต์นี้นั่นเอง ลิงค์แรกที่เห็นข้างล่างนี้จะเป็นโพสต์ล่าสุดที่เขียน และจะมาอัพเดทโพสต์นี้ทุกครั้งที่มีการลงตอนใหม่ของ "คำคมวันละนิด จิตแจ่มใส (A Quote A Day)" ใครสนใจอ่านอันไหนขอเรียนเชิญได้เลย ผู้เขียนหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านไม่มากก็น้อย ใครมีอะไรแนะนำหรือติชมก็ขอเชิญได้ที่ skulligram@gmail.com นะ #ThankYou


คำคมวันละนิด จิตแจ่มใส (A Quote A Day) : "If you are not fit in, then you're probably doing the right thing."

คำคมวันละนิด จิตแจ่มใส่ (A Quote A Day) : "Life is too short to waste your time thinking about someone who doesn't treat you right."

คำคมวันละนิด จิตแจ่มใส (A Quote A Day) : "Bad things are always going to happen in life. People will hurt you. But you can't use that as an excuse to hurt someone back."

คำคมวันละนิด จิตแจ่มใส (A Quote A Day) : "Don't let your happiness depend on something you may lose."

คำคมวันละนิด จิตแจ่มใส (A Quote A Day) : "The loneliest people are the kindest. The saddest people smile the brightest. The most damaged people are the wisest. All because they do not wish to see anyone else suffer the way they do."

คำคมวันละนิด จิตแจ่มใส (A Quote A Day) : "If there are no ups and downs in your life, it means you are dead."

คำคมวันละนิด จิตแจ่มใส (A Quote A Day) : "You cannot change the people around you, but you can change the people you choose to be around."

คำคมวันละนิด จิตแจ่มใส (A Quote A Day) : "The reason why people give up so fast is because they tend to look at how far they still have to go, instead of how far they have gotten."

คำคมวันละนิด จิตแจ่มใส (A Quote A Day) : "You might feel worthless to one person, but you are priceless to another."

คำคมวันละนิด จิตแจ่มใส (A Quote A Day) : "Don't let someone else's opinion of you become your reality."

คำคมวันละนิด จิตแจ่มใส (A Quote A Day) : "What other think about you is none of your business."

คำคมวันละนิด จิตแจ่มใส (A Quote A Day) : " If God brings you TO it....he'll bring you THROUGH it."

คำคมวันละนิด จิตแจ่มใส (A Quote A Day) : "Tough times never last, tough people do."



ขอตบท้ายด้วยคอลัมน์ที่เปิดไว้แล้วเขียนแค่ครั้งเดียว "สำนวน ชวนฝัน (Idioms to go)" 

สำนวน ชวนฝัน (Idioms to go) : "Sometimes we try to trap a cow, but then catch a rat instead."

Sunday, June 28, 2020

แนะแนวข้ามทวีป : so-called flight attendant ตอนที่ 11 Say WHAT!?

*** Rules&regulations ในการอ่าน "so-called flight attendant" ***

1. เรื่องราวทั้งหมดที่เกิด เป็นประสบการณ์ตรงของผู้เขียนที่อยู่ในอาชีพแอร์โฮสเตสมาเป็นระยะเวลา 13 ปี ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาโจมตีหรือพาดพิงผู้ใดทั้งสิ้น หากแต่เป็นการเขียนเพื่อเป็นวิทยาทานให้รุ่นน้องที่อยากเป็นแอร์โฮสเตส และเพื่อเพื่อนๆผู้รักการอ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้น

2. เนื้อหาและเนื้อเรื่องบางส่วนในบางตอน ไม่สามารถนำไปใช้ได้กับสายการบินอื่นๆในเหตุการณ์เดียวกัน การนำเอาเรื่องราวของผู้เขียนไปเปรียบเทียบ หรือยึดถือเป็นหลักโดยรวมว่าด้วยเรื่องของชีวิตการเป็นแอร์โฮสเตส อาจทำให้ผู้อ่านมีความเข้าใจที่ผิดต่อการเป็นแอร์โฮสเตสในภาพรวมได้

3. กรุณาใช้วิจารณญาณขั้นสูงสุดในการอ่าน เนื่องจากเรื่องราวของผู้เขียนนั้น เกิดขึ้นจากการใช้ชีวิตการทำงานและอยู่อาศัยในประเทศแถบตะวันออกกลางเท่านั้น การจัดการและการบริหารของสายการบินต่างๆในแถบนี้ รวมถึงสายการบินที่เบสในประเทศไทยนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพื่อนร่วมงาน ผู้โดยสาร เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม การเลี้ยงดูในวัยเด็ก จิตสำนึก ความคิด ทำให้ความสามารถในการมองโลก การแก้ปัญหา การแยกแยะผิดชอบชั่วดี มีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ผู้อ่านจึงไม่ควรตัดสินชีวิตใคร แต่ควรพึงเข้าใจ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นไป ล้วนแล้วแต่เป็น "กรรม" ของแต่ละบุคคลเท่านั้น

..............................................................................................................
 Picture Credit : https://seasokhon.com/2017/12/27/benefits-of-understand-communication-styles/



แนะแนวข้ามทวีป : so-called flight attendant ตอนที่ 11 Say WHAT!? จะพูดถึงการสื่อสาร (Communication) ล้วนๆเลย ไม่ว่าจะทำงานอะไรเราก็ต้องมีการสื่อสารหมด ทั้งการพูดการจา การนำเสนอ ท่าทาง บุคลิกลักษณะ งานแอร์ก็ไม่เว้น แถมอาจจะหนักกว่าอีก เพราะว่าเราต้องเจอกับคนต่างเชื้อชาติ ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม ที่หนักกว่านั้นคือ เจอทั้งหมดที่ว่ามาภายใน 1 ไฟลท์ที่ทำใน 1 วัน ผู้คนที่จะได้เจอจะมีตั้งแต่ลูกเรือที่ต้องทำงานด้วยกันในไฟลท์นั้นๆ พนักงานภาคพื้นดิน (Ground Staff) พนักงานทำความสะอาดบนเครื่องบิน (Cleaner) ผู้โดยสารอีกเป็นร้อยคนแค่ในไฟลท์นั้น รวมไปถึงอีกหลายบุคคลที่ไม่ได้กล่าวถึงเวลาไปบิน แล้วอาจจะไม่ได้เจอกันอีกก็เป็นได้ ถามว่าคนทั้งหมดนี้สื่อสารกันยังไงให้ไม่ทะเลาะกัน !?

Say WHAT!? ในที่นี้แปลแนวๆได้ว่า "ห๊ะ พูดว่าอะไรนะ" มันอาจจะเป็นความคิดเราที่พูดอยู่ข้างในคนเดียวเวลาเราคุยอยู่กับใครแล้วอาจจะไม่เข้าใจ สะดุด หรือไม่เข้าหูกับสิ่งที่ได้ยินมาก็เป็นได้ แต่คือเราจะจัดการความคิดนั้นยังไง จะเงียบเอาไว้ หรือจะพูดออกไปเลยเพื่อความเคลียร์ ไม่ว่าจะเลือกทางไหนคือมีผลลัพธ์หมด (All actions have consequences.)

ไอเดียต้นเรื่องของการเขียน แนะแนวข้ามทวีป : so-called flight attendant ตอนที่ 11 Say WHAT!? นี้มาจากห้อง Briefing (ซึ่งได้อธิบายไว้แล้วในตอนที่ 10) คือลูกเรือจะต้องมานั่งประชุมกันก่อนไปทำไฟลท์นั่นเอง ในประสบการณ์การบิน 13 ปีของผู้เขียน บอกได้เลยว่ามีหลายครั้งที่หัวหน้าลูกเรือ(บางคน)จะปิดท้ายการประชุมด้วยเรื่อง "communication" เป็นหลัก เค้าจะเน้นมาก ว่า 99.99% ของปัญหาส่วนใหญ่มาจาก "miscommunication" (การสื่อสารที่ผิดพลาด) ทำให้เกิดการ "Misunderstanding" (การเข้าใจผิด) >>> misunderstanding <<<  คือการพูดคุยสื่อสารที่ไม่ตรงกัน ทำให้ไม่เข้าใจกัน เข้าใจผิดกัน และทำให้เกิดปัญหาจากเล็กไปถึงปัญหาใหญ่ๆ 

หากเราทำงานกับสายการบินในประเทศไทย ที่ลูกเรือส่วนใหญ่เป็นคนไทย การสื่อสารจะอยู่ในระดับค่อนข้างดี เพราะอย่างน้อยก็คนไทย คุยกันรู้เรื่อง คุยกันไม่รู้เรื่องก็ใช้ใจคุยกัน คนไทยด้วยกันยังไงก็ดีกว่า (ไม่นับรวมว่าใครมาจากไหน นิสัยใจคอเป็นอย่างไรนะ) แต่ถ้ามาเบสกับสายการบินของตะวันออกกลาง เจอแน่ๆคือ ลูกเรือชาวต่างชาติที่มาจากทุกมุมโลกเลย ภาษาหลักที่จะต้องใช้สื่อสารกันคือภาษาอังกฤษ ไม่นับรวม Body Language ที่จะช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้นนะ

ถามว่าถ้าไม่เก่งภาษาอังกฤษแล้วจะทำยังไง!? ขอบอกว่าไม่ใช่ปัญหานะ มีลูกเรือหลายคนจากหลายชาติที่ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาแม่ พอมาเป็นแอร์แล้วถึงพูดได้พูดเป็นกันเยอะมาก เพราะมันต้องใช้อยู่ตลอด 24/7 ( >>> 24/7 <<<) พูดทุกๆวัน นานๆเข้าก็คือสื่อสารได้ มันเป็นเรื่องปกติ เพราะทุกวันคือการเรียนรู้อยู่แล้ว แค่ว่าเรียนอะไรเท่านั้นเอง 

ประเด็นคือเจ้าตัว "communication" นี่นะ ถ้ามันกลายพันธุ์เป็น "miscommunication" และ "misunderstanding" บนไฟลท์ ขอเน้นว่าบนไฟลท์ มันสามารถสร้างปัญหาได้ตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงระดับ Ph.D (ปริญญาเอก) เลยทีเดียว การแก้ปัญหาของระดับอนุบาลนี่คือไม่เท่าไหร่ เคลียร์กันได้ ไม่สร้างความเสียหายมาก แต่ถ้าขึ้นถึงระดับ Ph. D คือเรื่องใหญ่ และกระทบเป็นวงกว้าง สร้างความเสียหายได้มากจริง มาดูตัวอย่างกัน

- ผู้โดยสารในชั้นประหยัดท่านหนึ่งเป็นลม ลูกเรือก็ปฐมพยาบาลกันไป การเป็นลมของผู้โดยสารท่านนี้ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวกับ Life threatening (อันตรายถึงชีวิต) หัวหน้าลูกเรือชั้นประหยัด (Cabin Senior) ไปบอกหัวหน้าลูกเรือให้รับทราบ แต่ไม่รู้คุยกันยังไง หัวหน้าลูกเรือเข้าไปบอกกัปตันว่า "ผู้โดยสารไม่หายใจแล้ว" ข้อมูลแบบนี้สำหรับกัปตันคือเรื่องใหญ่ ผลที่ตามมาคือ กัปตันแจ้งเหตุไปทาง ATC (Air Traffic Control - หอบังคับการบิน) ของประเทศที่กำลังบินผ่านอยู่ตอนนั้น ว่าขอลงจอดด่วน เพราะมี "Medical case on board" (เหตุผู้ป่วยฉุกเฉินบนไฟลท์)  และเมื่อลงจอดฉุกเฉินแล้ว ทีมแพทย์ได้ขึ้นมาตรวจเช็คผู้โดยสารแล้วคือ ผู้โดยสารท่านนั้นไม่ได้เป็นอะไร นั่งอยู่กับที่และปกติดี #ซะงั้น

- เครื่องบินบินอยู่บนฟ้า ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง สังเกตุเห็นควันไฟออกมาจากเครื่องยนต์ทางปีกขวาของเครื่องบิน เลยรีบเรียกลูกเรือให้มาดู หัวหน้าลูกเรือเดินลงไปดูและเห็นว่ามีควันออกจากเครื่องยนต์จริงๆ เลยรีบไปที่ Flight deck (ห้องนักบิน) แล้วบอกกัปตันว่า "มีควันไฟออกมาจากเครื่องยนต์ทางปีกซ้ายของเครื่องบิน" กัปตันถามย้ำว่าปีกซ้ายนะ แล้วก็กดดับเครื่องยนต์ปีกซ้ายไป พร้อมกับกดระบบดับไฟฉุกเฉินของเครื่องยนต์ ไฟจะได้ดับ แต่เครื่องยนต์ปีกขวาต่างหากที่ไหม้ หัวหน้าลูกเรือบอกปีกซ้าย เพราะว่าเค้าเดินจากหัวเครื่องลงไปดู(หัวหน้าลูกเรือส่วนใหญ่จะประจำอยู่ที่หัวเครื่อง ใกล้กับห้องนักบิน) ไม่ได้เดินจากท้ายเครื่องขึ้นไปดู(ถ้าเดินจากท้ายเครื่องขึ้นไป ปีกขวาจะอยู่ทางขวามือของเราพอดี) ปีกทางขวาที่ว่าเลยกลายเป็นอยู่ทางซ้ายมือของเค้า และเค้าก็จำมันแบบนั้นไปบอกกับนักบิน #จบยังไงขอไม่พูดถึง 

เอาแค่ 2 ตัวอย่างนี้คือก็เห็นชัดแล้วว่า "miscommunication" กับ "misunderstanding" สร้างความเสียหายได้มากแค่ไหน จะเสียหายแค่ไหน แต่ถ้ามีชีวิตอยู่ต่อเพื่อแก้ไข มันก็คงจะดีไม่น้อย

ส่วนปัญหาระดับอนุบาลที่พอแก้ไขกันได้ ขอยกมา 1 ตัวอย่าง ดังนี้

- ผู้โดยสารสั่ง Special Meal (อาหารเมนูพิเศษต่างๆที่ผู้โดยสารทำการจองไว้ล่วงหน้าก่อนขึ้นบิน เช่น ผลไม้, อาหารของคนเป็นโรคเบาหวาน เป็นต้น) ท่านหนึ่งนั่งอยู่ที่ 27A แต่ลูกเรือเดินเอาไปเสริฟให้ที่ 27K คือถูกแถว แต่มันคนละฝั่งกันเลย เหตุเพราะลูกเรือที่ส่งถาดให้ลูกเรืออีกคนเอาไปเสริฟนั้นดันชี้ไปที่ฝั่ง 27K แล้วบอกว่าถาดนี้ของ 27A นะ  #ขอบใจ

การพูดคุยกันเพื่อการเข้าใจที่ตรงกัน การกล้าพูดในสิ่งที่คิด (เพราะบางทีคือเรารู้และว่ามันไม่ใช่นะ แค่เราพูดหรือไม่พูดออกไป) ทำให้เกิดการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง คือ "Effective Communication" ไม่มีอะไรดีไปกว่าการที่ทุกคนเข้าใจกัน ทำงานร่วมกันได้ไม่เกิดปัญหา และถึงแม้จะเกิดปัญหาขึ้นมา แต่การคุยกันดีๆเพื่อหาทางแก้ไข หาจุดตรงกลาง ยอมรับฟังกัน เรื่องก็จบได้แบบสวยงาม นี่คือ 1 ในเรื่องหลักๆที่พวกน้องจะต้องเจอเมื่อขึ้นมาบินแล้ว เพราะปัญหามันมีทุกไฟลท์จริงๆ ไม่กับลูกเรือด้วยกันเอง ก็กับผู้โดยสาร และกับคนทั่วไปที่จะต้องเจอเวลาเราไปบิน (Ground Staff, Cleaner) พี่ก็ขอให้ทุกคนปรับตัวได้ ใช้เวลาหน่อยไม่เป็นไร ขอให้เปิดรับและหาจุดตรงกลางให้เจอ ค่อยๆเรียนรู้ไป แล้วจะดีเอง 

มาเจอกันใหม่กับ แนะแนวข้ามทวีป : so-called flight attendant ตอนที่ 12 Your job or My job

...................................................................................................................

>>> แนะแนวข้ามทวีป : Introduction <<<
>>> แนะแนวข้ามทวีป : High School Love On <<<
>>> แนะแนวข้ามทวีป : Better Planet VS. Better Kids <<<
>>> แนะแนวข้ามทวีป : What's next? <<<


"so-called flight attendant" ตอนที่ 1 How? 
"so-called flight attendant" ตอนที่ 2 How come?

"so-called flight attendant" ตอนที่ 4 Hello Middle East 

"so-called flight attendant" ตอนที่ 5 Back to School 

"so-called flight attendant" ตอนที่ 6 I believe I can fly 

"so-called flight attendant"  ตอนที่ 9 It's all about the money.
https://skulligram.blogspot.com/2015/04/so-called-flight-attendant-9-its-all.html

แนะแนวข้ามทวีป : so-called flight attendant ตอนที่ 10 What time is it?
https://skulligram.blogspot.com/2020/06/so-called-flight-attendant-10-what-time.html