Saturday, January 28, 2012

อยากพูด-พูดเล้ย (Just Say It) : "I promise, I will never let you down again."


อยากพูด-พูดเล้ย (Just Say It) : นั่งดูหนังน่ารักๆเรื่อง "Puss in Boots" เป็นเรื่องเกี่ยวกับแมวผู้พิทักษ์สันติราษฏ์ มีเพื่อนสนิทเป็นไข่ แต่เจ้าไข่นี่มีจิตโลภมากไปหน่อย จึงทำให้เจ้าแมวมีปัญหาอยู่บ่ิอยครั้ง จนในที่สุดเจ้าแมวก็โกรธแล้วไม่ยุ่งกับเจ้าไข่อีกเลย อยู่มาวันนึงได้กลับมาเจอกันอีก เจ้าไข่ขอคืนดีด้วย แต่เจ้าแมวยังโกรธอยู่ เจ้าไข่เลยพูดว่า "I promise, I will never let you down again." (ชั้นสัญญาว่าจะไม่ทำให้นายผิดหวังอีก)

เอ้า ใครเคยทำให้ใครผิดหวัง แล้วคิดว่าจะไม่ทำให้เค้าผิดหวังอีก ให้พูดว่า "I promise, I will never let you down again."

ลูกชายคนเดียวของบ้านติดยาอย่างหนัก เสียผู้เสียคน พ่อแม่เสียใจ พาไปรักษาตัวจนหาย พอคิดได้ก็พูดกับพ่อแม่ว่า "I promise, I will never let you down again."

มีวิธีพูดแบบอื่นๆอีก เช่นสัญญาว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก สัญญาว่าจะไม่มาสายอีก สัญญาว่าจะ...
ใครอยากลองแต่งประโยคแบบนี้ออกมามั่งมั๊ย เดี๋ยวจะรออ่านหล่ะ~ ^^

ติดตาม "อยากพูด - พูดเล้ย (Just Say It)" ได้ที่

Monday, January 23, 2012

คุณขอมา (Requested Topic) : "Handmade but Made with Heart."

คุณขอมา (Requested Topic) : มีน้องสถาปนิกคนเก่งหลังไมค์เข้ามาว่า "ภาษาอังกฤษ ว่า งานทำมือ ทำจากใจ เขียนว่ายังไง"

งานทำมือ = "Handmade"
ทำจากใจ = "Made with heart"

เลยแนะนำน้องคนนี้ไปว่า ให้เขียนแบบนี้สิ "Handmade but Made with Heart." น้องผู้น่ารักยังสงสัยไม่เลิก "ทำไมต้อง but อ่ะ" .... "อ่าว ก็ใส่ว่าถึงจะทำด้วยมือ แต่ก้อทำด้วยใจนะฮ๊าาาา"

จบข่าว ~ ^^

ขอได้รับความขอบคุณจากน้องตู่ น้องสถาปนิกคนเก่ง~ อิอิ




ติดตาม "คุณขอมา (Requested Topic)" ได้ที่ 

ห้องเรียนเฉพาะกิจ (Exclusive Class) : "For" and "Since"


ห้องเรียนเฉพาะกิจ (Exclusive Class) : Unit 10 Have you ever ridden a camel? ตอนที่3(Part 3)

Unit 10 : Grammar Focus (page67)

ตอนที่3นี่มาต่อเลย เพราะถ้าไม่พูด เดี๋ยวมีน้องๆตาดีได้ถามคำถามแน่นอน เพราะมันดันไปโยงกับตอนที่2อ่ะสิ ...

หน้านี้เค้าพูดถึงการใช้ "For" กับ "Since" ... ไม่อธิบายอะไรเลย มาพร้อมตัวอย่างเลย

Past Tense :
็How long did you live in Thailand?
- I lived there for two years. It was wonderful.

Present Perfect Tense :
How long have you lived in Miami?
- I've lived here for six months. I love it here.
- I've lived here since last year. I'm really happy here.

***ถ้าใครตาดีๆ หรือหัวไวๆ ถามคำถามนี้แน่นอน อ่าวพี่ ทำไม I've lived here for six months. กับ I've lived here since last year. ถึงบอกเวลามาด้วย ไหนพี่บอกว่า **Present Perfect นี่ใช้พูดถึงอดีตแบบตอนไหนก็ได้ ไม่บ่งบอกข้อมูลอะไรทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นเวลาหรือสถานที่** คำตอบของพี่ก็คำปั้นทุบดินมากคับ "เพราะว่าคำถามบังคับให้ตอบแบบมีข้อมูล" ~ ^^

สังเกตุดีๆนะ How long have you lived in Miami? เค้าถามว่า อยู่ไมอามี่มา"นานเท่าไหร่"แล้วนี่ คำตอบจำเป็นจะต้องมีระยะเวลา ถูกมั๊ย? เพราะคำถามที่มี "How long" นี่แหละ บังคับให้ตอบแบบมีระยะเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง For กับ Since ก็เลยต้องออกโรง~

I've lived here for six months. อยู่่นี่มา6เดือนแล้ว
I've lived here since last year. อยู่ที่นี่มาตั้งแต่ปีที่แล้ว


ใช้ for บอกเวลาแบบเบ็ดเสร็จ ในที่นี้คืออยู่มา"ทั้งหมด"กี่เดือนกี่ปี คือสรุปให้เลย
ใช้ since บอกแค่ว่า อยู่มา"ตั้งแต่" ปีนั้นเดือนนี้ ไม่สรุประยะเวลาให้

***Past Tense ก็ไม่รอด มี for กับเค้าเหมือนกัน แต่ไม่มี since ใครรู้บ้างว่าทำไม!? มาดูคำแปลกัน

How long did you live in Thailand? เธอ"เคยอยู่" (did ... live)เมืองไทยมานานเท่าไหร่
- I lived there for two years. It was wonderful. ชั้น"เคยอยู่"(lived)ที่นั้นมา2ปี

์ข้อสังเกตุ(Note) : ทั้งคนถามคนพูด ณ ตอนที่คุยกัน ไม่ได้อยู่เมืองไทยทั้งสองคนนั่นแหละ สั้งเกตุได้จากคำกริยาทั้งหมดเป็นpast tense (did/lived/was)

How long have you lived in Miami? อยู่ไมอามี่มานานเท่าไหร่แล้วนี่(have lived)
- I've lived here for six months. I love it here. อยู่มา6เดือนแล้ว(have lived ... for)
- I've lived here since last year. I'm really happy here. อยู่มาตั้งแต่ปีที่แล้ว (have lived ... since)

์ข้อสังเกตุ(Note) : ทั้งคนถามคนพูด ณ ตอนที่คุยกัน อยู่ไมอามี่ทั้ง2คนนั่นแหละ สั้งเกตุได้จากคำกริยาทั้งหมดเป็นpresent perfect tense (have lived) บวกกับคำว่า "here" (ที่นี่) ชัดเลยยยยย~

***ส่วนคำตอบที่ว่า ทำไม Past Tense ใช้ได้แต่ for แต่ใช้ since ไม่ได้ รู้คำตอบกันแล้วเน้อ? ... ไหนใครรู้แล้วอธิบายตรงนี้มาหน่อย เช็คๆความเข้าใจกันวิธีนี้เลย ~ ^^










ห้องเรียนเฉพาะกิจ (Exclusive Class) : Unit 10 Have you ever ridden a camel? ตอนที่2(Part 2)


ห้องเรียนเฉพาะกิจ (Exclusive Class) : Unit 10 Have you ever ridden a camel? ตอนที่2(Part 2)

Unit 10 : Grammar Focus (page66)

ยังคงอยู่กันที่บทที่10นะน้องๆ สังเกตุเห็นวิธีการอธิบาย Present Perfect Tense กับ Past Tense ที่หน้า66แล้วรู้สึกว่าน้องๆบางคนถ้าอ่านเอง อาจจะไม่เคลียร์ พี่ขอเอามาขยายก็แล้วกันนะ~

ในหนังสือเค้าเขียนว่างี้ ...

Use the present perfect for an indefinite time in the past.
Use the simple past for a specific event in the past.

พอเข้าใจมั๊ย!? แล้วเค้าก็ให้ตัวอย่างมาว่า ...

1. Have you ever eaten Moroccan Food?
- Yes i have. I ate it once in Paris.
- No i haven't. I've never eaten it.

2. Have you ever had green curry?
- Yes i have. I tried it several years ago.
- No, i haven't. I've never had it.

ใครหัวดีๆ อ่านแค่นี้แล้วเกทเลยก็ไม่น่าห่วงเท่าไหร่ แต่ใครที่อ่านแล้วยัง งงๆ มานี่มา~ ^^

เค้าบอกว่า Present Perfect นี่ใช้พูดถึงอดีตแบบตอนไหนก็ได้ ไม่บ่งบอกข้อมูลอะไรทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นเวลาหรือสถานที่ แต่ Past Tense นี่บอกช่วงเวลาด้วย สถานที่ด้วย แบบว่าได้รายละเอียดมากมาย ... ลองมาดูตัวอย่างกันดีกว่า

สมมุติเพื่อนต่างชาิติ2คนมาเที่ยวเมืองไทย เราพาไปกินข้าวที่้ร้านอาหารไทย อยากให้เพื่อนลองแกงเขียวหวาน ไม่รู้เพื่อนเคยลองรึยัง เลยถามว่า Have you ever had green curry? เคยกินแกงเขียวหวานมั๊ย? เพื่อนสองคนตอบมาสองแบบ คนแรกตอบ Yes i have. I tried it several years ago. เคยนะ เคยกินเมื่อหลายปีก่อน คนที่2ตอบว่า No, i haven't. I've never had it. ไม่นะ ไม่เคยกินเลย

คนแรกตอบแบบ Past Tense :  Yes i have. I tried it several years ago. เคยนะ เคยกินเมื่อหลายปีก่อน
คนที่2ตอบแบบ Present Perfect Tense :  No, i haven't. I've never had it. ไม่นะ ไม่เคยกินเลย

เคลียร์มั๊ยเด็กๆ? ถ้าเคลียร์นะ ลองเปลี่ยนบทสนทนาภาษาไทยข้างล่างนี้ให้เป็นบทสนทนาภาษาอังกฤษทั้งหมด วัดความเข้าใจกันหน่อยนะจ้ะ~ ^^
A. เธอเคยไปประเทศญี่ปุ่นมั๊ย
B. ไม่เคยไปอ่ะ แล้วเธอเคยไปเกาหลีมั๊ย
A. เคยสิ ไปเกาหลีมาเมื่อปีที่แล้วเนี่ย

***แต่พี่อยากจะบอกว่า ถึงเวลาต้องพูดภาษาอังกฤษจริงๆอ่ะนะ ไม่ต้องมานั่งคิดหรอก Present Perfect Tense หรือ Past Tense!? พูดมันออกไปเลยยยยย เชื่อมั๊ยฝรั่งเข้าใจว่าเราจะพูดอะไร เก็บเรื่องแกรมม่าน่าปวดหัวนี่ไว้ใช้สอบอย่างเดียวก็พอ เชื่อพี่ ให้กล้าพูดมาก่อน แล้วแกรมม่ามาทีหลัง แต่ถ้าใครจะเอาไปใช้สอบจริงๆจังมันก็อีกเรื่องนะ ~ ^^

Sunday, January 22, 2012

คุณขอมา (Requested Topic) : "Have a good time" and "Have a good trip."


คุณขอมา (Requested Topic) : คุณทักษาถามเข้ามาว่า "Have a good time." ต่างกับ "Have a good trip." อย่างไร เหมือนกันอย่างเดียวเลยค่ะคือ 'การอวยพร' แต่ความหมายและสถานณ์การณ์ในการพูดแตกต่างกันแบบนี้ค่ะ ...

สมมุติว่าวันนี้ลูกสาวมาขออนุญาติคุณแม่ไปงานวันเกิดเพื่อน คุณแม่ก็อนุญาติให้ไปได้ ลูกสาวแต่งตัวเสร็จแล้วกะลังจะออกไปงานวันเกิดเพื่อนแล้ว คุณแม่ก็พูดขึ้นมาว่า "Have a good time." นะลูก แปลเป็นภาษาไทยๆได้ว่า 'ขอให้สนุกนะจ้ะ' ~

***แต่ถ้าคุณแม่พูดกับลูกก่อนไปงานวันเกิดเพื่อนว่า "Have a good trip." นี่แสดงว่างานวันเกิดเพื่อนนี่จัดไกล ใช้เวลาเดินทาง หรือต้องบินไป แล้วคุณแม่ต้องการจะเน้นเรื่องการเดินทางมากกว่าขอให้ลูกสนุกในงานวันเกิด จึงพูดออกไปว่า "Have a good trip."~

สูกสาวอีกคนของคุณแม่ ทำงานแล้ว พอดีว่าจะต้องไปดูงานที่ต่างประเทศกับบริษัทเป็นเวลา1อาทิตย์ ก่อนลูกจะขึ้นรถไปตอนเช้า คุณแม่ก็พูดกับลูกว่า "Have a good trip." แปลได้ไทยๆว่า "เดินทางปลอดภัย" นะลูก หรือจะแปลได้ว่า "ขอให้งานราบรื่นนะจ้ะ" งานในที่นี้คือการไปดูงานที่ต่างประเทศกับลูกสาวนั่นเอง~

***แต่ถ้าคุณแม่พูดกับลูกก่อนไปว่า "Have a good time." แสดงว่าคุณแม่ไม่ได้ต้องการเน้นเรื่องการเดินทางว่าให้เป็นไปแบบสะดวกเรียบร้อย แต่เน้นว่าให้ลูกสาวที่ไปดูงานครั้งนี้ได้มีเวลาที่ดีๆได้เจอแต่เรื่องดีๆในการไปครั้งนี้มากกว่า จึงใข้ "Have a good time."~

ถ้าสังเกตุดูจะพอเห็นความแตกต่างได้ว่า "good time" มักจะใช้ไปในเรื่องของอะไรที่มันไม่ใช่การใช่งาน แต่ "good trip" เป็นเรื่องเป็นราวมากกว่า คือเป็นงานเป็นการและเป็นเรื่องของการเดินทาง trip คือการเดินทาง จึงเหมาะจะใช้อวยกับคนที่กะลังจะเดินทางไปไหนไกลๆ

***สมมุมติว่าเราจะอวยพรคนไปฮันนีมูน จะพูดได้ว่า "Have a good trip." หรือ "Have a good time." ก็ได้ ดังนั้น "Have a good time." หรือ "Have a good trip." จึงขึ้นอยู่กับการต้องการสื่อความหมายของเรามากกว่าค่ะ~

พอได้มั๊ยค่ะคุณทักษา? ~ ^^ น้องๆคนอื่นสนใจแต่งประโยคมาเพื่อทดสอบความเข้าใจเรื่องนี้มั๊ยเอ่ย?~

ติดตาม "คุณขอมา (Requested Topic)" ได้ที่ 

Saturday, January 21, 2012

เกร็ดภาษาน่ารู้(Language Tips) : "Have you ever ...?" กับ "Have you ...?"


เกร็ดภาษาน่ารู้(Language Tips) : วันนี้ได้ไอเดียมาจากห้องเรียนเฉพาะกิจ (Exclusive Class) ไม่รู้จะมีใครสังเกตุกันรึป่าวว่า "Have you ever ...(V.3)?" กับ "Have you ...(V.3)?" นี่มันเหมือนกันรึป่าว!?

คำตอบคือ "ไม่เหมือน" ... ทำไมไม่เหมือน!?

"Have you ever ...(V.3)?" แปลว่า "เคย....มั๊ย?"
"Have you ...(V.3)?" แปลว่า ".... รึยัง?"

สมมุติจะถามเพื่อนว่า เคยไปประเทศเกาหลีมั๊ย "Have you ever been to Korea?" ถ้าเพื่อนเคยไป จะตอบว่า "Yes, I have." ถ้าเพื่อนไม่เคยไป จะตอบว่า "No, I have not."

แต่ถ้าจะถามเพื่อนว่า ทำการบ้านเสร็จรึยัง "Have you finished your homework?" / "Have you finished your homework yet?" ถ้าเพื่อนทำเสร็จแล้ว จะตอบว่า "Yes, I have." ถ้าเพื่อนยังทำไม่เสร็จ จะตอบว่า "No, I have not."

*** Yes, I have กับ No, I have not. เป็นการตอบสั้นๆได้ใจความ เป็นอันรู้กัน

***ส่วนน้องๆบางคนที่มีความคิดสร้างสรรค์(อีกแล้ว) ถามว่าอ่าวพี่ ถ้าใช้ "Have you ever finished your homework?" แบบนี้หล่ะจะได้มั๊ย คำตอบคือได้นะ "แต่" ความหมายเปลี่ยนเลย เพราะถ้าไปพูดว่า "Have you ever finished your homework?" กับเพื่อนนี่หมายถึงไปแซวเพื่อนแล้วแหละว่า "นี่เธอเคยทำการบ้านเสร็จบ้างมั๊ยนี่ชีวิตนี้!?" แป่วววว ... ขำๆนะน้อง สรุปภาษาอังกฤษมันดิ้นได้อยู่ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเอามารวมกันแล้วมีความหมายเหมือน "Have you ever finished your homework?" เสมอไปนะ~

ถ้าลองแต่งประโยคออกมากันแล้วเดี๋ยวจะเข้าใจกันเองเน้อ ว่าแต่ จะแต่งกันมั๊ยประโยคหน่ะ!? ~ ^^

ติดตาม "เกร็ดภาษาน่ารู้ (Language Tips)" ได้ที่

ห้องเรียนเฉพาะกิจ (Exclusive Class) : คำกริยา3ช่อง (Irregular Verbs)


ห้องเรียนเฉพาะกิจ (Exclusive Class) : คำกริยา3ช่อง (Irregular Verbs) ทั้งหมดนี้เป็นแค่ตัวอย่างเล็กๆของคำกริยา3ช่องที่พบได้บ่อยๆ อย่างที่พี่บอกไปว่าต้องท่องทั้งหมดนี้แล้วไปสอบต่อหน้าคุณครูสมัยมัธยมต้น ถึงจำได้มาทุกวันนี้ แล้วพวกเราจะทำยังไง!? คงต้องบอกว่าถ้าจะเอาจริงเอาจังกับภาษาอังกฤษ คงจะต้องค่ิอยๆจำไปวันละ5ตัว แต่ถ้าใครอยากเอาแค่พอสอบผ่านวิชาภาษาอังกฤษ พี่แนะนำให้เปิดหนังสือภาษาอังกฤษที่เรียนอยู่ แล้วเขียนคำกริยา3ช่องที่เห็นทั้งหมดในหนังสือนั่นแหละออกมา พยายามจำให้ได้ เพราะเปอเซนต์มีสูงมากที่มันจะไปอยู่ในข้อสอบ ของพวกนี้ต้องเห็นมันบ่อยๆแล้วเดี๋ยวจำได้เองเน้อ~ ^^

awake awoke awoken ตื่น
be was, were been เป็น,อยู่,คือ
bear bore born ทน
beat beat beat ตี
become became become กลายเป็น
begin began begun เริ่ม
bend bent bent หัก, งอ
beset beset beset โอบล้อมรอบด้าน
bet bet bet พนัน
bid bid/bade bid/bidden ประมูล
bind bound bound ผูกติดกัน
bite bit bitten กัด
bleed bled bled เลือดออก
blow blew blown เป่า
break broke broken แตก, หัก
breed bred bred ผสมพันธ์
bring brought brought นำมา
broadcast broadcast broadcast ออกอากาศ
build built built สร้าง
burn burned/burnt burned/burnt เผา
burst burst burst ระเบิดออก
buy bought bought ซื้อ
cast cast cast หล่อ
catch caught caught จับ
choose chose chosen เลือก
cling clung clung พิง
come came come มา
cost cost cost มีราคา
creep crept crept คืบคลาน
cut cut cut ตัด
deal dealt dealt จัดการ
dig dug dug ขุด
dive dived/dove dived กระโดดน้ำ
do did done ทำ
draw drew drawn วาด, ล่อ, ชักดาบ, ถอนเงิน
dream dreamed/dreamt dreamed/dreamt ฝัน
drive drove driven ขับรถ
drink drank drunk ดื่ม
eat ate eaten กิน
fall fell fallen ล้ม
feed fed fed ให้อาหารสัตว์
feel felt felt รู้สึก
fight fought fought ต่อสู้
find found found พบ
fit fit fit พอเหมาะ
flee fled fled หลบหนี
fling flung flung เขวี้ยง
fly flew flown บิน, นั่งเครื่องบิน
forbid forbade forbidden ห้าม
forget forgot forgotten ลืม
forego (forgo) forewent foregone ยอม, ไม่เอา
forgive forgave forgiven ให้อภัย
forsake forsook forsaken สละ, ละทิ้ง
freeze froze frozen หยุด, เป็นน้ำแข็ง
get got gotten ได้, เอา
give gave given ให้
go went gone ไป
grind ground ground บด
grow grew grown เจริญงอกงาม
hang hung hung แขวน
hang hunged hanged แขวนคอ (regular verb)
hear heard heard ได้ยิน
hide hid hidden ซ่อน
hit hit hit ตี
hold held held ถือ
hurt hurt hurt ทำร้าย
keep kept kept เก็บรักษา
kneel knelt knelt คุกเข่า
knit knit knit ถัก
know knew know รู้จัก
lay laid laid วางไข่
lead led led นำ
leap leaped/lept leaped/lept กระโดด
learn learned/learnt learned/learnt เรียน
leave left left ออกจาก
lend lent lent ให้ยืม
let let let อนุญาต
lie lay lain นอนลง
light lighted/lit lighted/lit จุดไฟ
lose lost lost ทำหาย
make made made ทำ
mean meant meant หมายถึง
meet met met พบ
misspell misspelled /misspelt misspelled/ misspelt สะกดผิด
mistake mistook mistaken ทำผิด
mow mowed mowed/mown ตัดหญ้า
overcome overcame overcome เอาชนะ
overdo overdid overdone ทำมากเกินไป
overtake overtook overtaken ตามทัน
overthrow overthrew overthrown ปลดจากตำแหน่ง
pay paid paid จ่าย
plead pled pled อ้อนวอน, ขอโทษ
prove proved proved/proven พิสูจน์
put put put วาง
quit quit quit เลิก
read read read อ่าน
rid rid rid ขจัด
ride rode ridden ขี่
ring rang rung กรดกริ่ง
rise rose risen ลุกขึ้น
run ran run วิ่ง
saw sawed sawed/sawn เลื่อย
say said said พูด
see saw seen เห็น
seek sought sought ค้นหา
sell sold sold ขาย
send sent sent ส่ง
set set set จัดวาง
sew sewed sewed/sewn เย็บ
shake shook shaken สั่น
shave shaved shaved/shaven โกน
shear shore shorn ตัดขนแกะ
shed shed shed เท, กันน้ำ, ทิ้ง
shine shone shone เปล่งแสง
shoe shoed shoed/shod ซ่อมรองเท้า
shoot shot shot ยิง
show showed showed/shown แสดง
shrink shrank shrunk หด
shut shut shut ปิด
sing sang sung ร้องเพลง
sink sank sunk จม
sit sat sat นั่ง
sleep slept slept นอน
slay slew slain ฆ่า
slide slid slid เลื่อน
sling slung slung
slit slit slit สอดกรีดตามยาว
smite smote smitten ตีอย่างแรง
sow sowed sowed/sown หว่านพืช
speak spoke spoken พูด
speed sped sped เร่งความเร็ว
spend spent spent ใช้จ่าย
spill spilled/spilt spilled/spilt ทำหก
spin spun spun ปั่น
spit spit/spat spit บ้วนน้ำลาย
split split split แยกออกจากกัน
spread spread spread แผ่
spring sprang/sprung sprung กระโดด
stand stood stood ยืน
steal stole stolen ขโมย
stick stuck stuck ติดอยู่กับ
sting stung stung ปล่อยเหล็กไน
stink stank stunk เหม็น
stride strod stridden เดินก้าวยาว ๆ
strike struck struck ตี
string strung strung ขึ้นสาย, ร้อยลูกปัด
strive strove striven ดิ้นรน ต่อสู้
swear swore sworn สาบาน
sweep swept swept กวาด
swell swelled swelled/swollen บวม
swim swam swum ว่ายน้ำ
swing swung swung แกว่ง
take took taken นำไป
teach taught taught สอน
tear tore torn ฉีก
tell told told บอก
think thought thought คิด
thrive thrived/throve thrived เติบโต
throw threw thrown ขว้าง
thrust thrust thrust เสือกเข้าไป
tread trod trodden เดิน
understand understood understood เข้าใจ
uphold upheld upheld ยกไว้
upset upset upset เสียใจ
wake woke woken ตื่น
wear wore worn สวม
weave weaved/wove weaved/woven ทอ
wed wed wed แต่งงาน
weep wept wept ร้องไห้
wind wound wound ไขลาน
win won won ชนะ
withhold withheld withheld เก็บไว้
withstand withstood withstood ทนฟ้าทนฝน
wring wrung wrung บิด
write wrote written เขียน

Friday, January 20, 2012

ห้องเรียนเฉพาะกิจ (Exclusive Class) : Unit 10 Have you ever ridden a camel? ตอนที่1(Part 1)


ห้องเรียนเฉพาะกิจ (Exclusive Class) : Unit 10 Have you ever ridden a camel? ตอนที่1(Part 1)

ได้ยินมาว่าน้องๆกำลังเรียนบทนี้อยู่ สอบแล้วด้วย งั้นเดี๋ยวพี่จะเริ่มจากบทนี้ไปเลยก็แล้วกันนะ แต่ถ้าใครมีคำถามที่ค้างมาจากบทก่อนๆก็มาถามได้เลยจ้ะ

***ย้ำกันอีกเรื่องว่าผู้สอนหลักของวิชานี้คืออาจาย์แม็คของพวกน้องๆนะ เพราะฉะนั้นให้พยายามตั้งใจฟังอาจารย์แมคในห้องเรียนให้ดีๆเพราะอาจารย์แม็คคือผู้ออกข้อสอบเน้อ พี่แค่เข้ามาช่วยอธิบายบางเรื่องที่เห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับน้องๆเท่านั้นเอง~ ^^ ***

Unit 10 : Grammar Focus (page65)

บทนี้มาในเรื่องของ Present Perfect Tense รูปแบบของมันคือ "has/have + past participle" ชื่อทางการมากไป จำแบบง่ายๆดีกว่าว่า past participle นี่คือverb(คำกริยา)ช่อง3 ทำไมต้องช่อง3 เพราะคำกริยามันมี 3 ช่อง พี่เขียนสั้นๆว่า V.1(คำกริยาช่อง1), V.2(คำกริยาช่อง2), V.3(คำกริยาช่อง3)

***สำหรับคนที่ยังงงๆคำกริยา3ช่อง มาแวะตรงนี้ก่อน

V.1 ใช้กับ Present Simple Tense คือ is,am,are,has,have แล้วก็คำกริยาทั่วไปเช่น listen,eat,sleep เป็นต้น

V.2 ใช้กับ Past Simple Tense คือ was,were,had แล้วก็คำกริยาทั่วไปที่เปลี่ยนรูปไปอยู่ในV.2(คำกริยาช่อง2) ในที่นี้คือ listened,ate,slept

V.3 ส่วนใหญ่จะเจอได้ใน Present Perfect Tense กับ Past perfect Tense คืิอ been,had แล้วก็คำกริยาทั่วไปที่เปลี่ยนรูปไปอยู่ในV.3(คำกริยาช่อง3) ในที่นี้คือ listened,eaten,slept

Note : น้องๆต้องพยายามทำความคุ้นเคยกับคำกริยา3ช่องนี้ให้มากๆ สมัยพี่เรียนอยู่มัธยมต้น อาจารย์ให้ท่องแล้วไปสอบตัวต่อตัวเลยด้วยซ้ำ พี่ยังจำเกือบทุกตัวมาได้จนถึงทุกวันนี้ ถ้ายังไงพี่จะไปหาคำกริยา3ช่องเบื้องต้นเอามาโพสให้ดูกันก็แล้วกันนะ~

เพราะฉะนั้น Present Perfect Tense คือ "has/have + V.3" ใครไม่เก่งแกรมม่าก็สามารถแยกแยะได้ ถ้าจำ'แค่'รูปแบบของมันได้อ่ะนะ

ถ้ามีข้อสอบถามว่า ข้อไหนเป็น Present Perfect Tense
a. She goes to school everyday.
b. He went back home already.
c. They are sleeping in my room.
d. I have been there before.

ตอบได้มั๊ยข้อไหน? ...

เคล็ดลับในการดูว่าข้อไหนคือPresent Perfect มีดังนี้ :-
1. ต้องหลับตาแล้วนึกออกเลยว่ารูปแบบของ Present Perfect คือ "has/have + V.3"
2. ต้องมีความแม่นยำในเรื่องของคำกริยา3ช่องพอสมควร

ทำไมต้องแม่นคำกริยา3ช่อง!? เพราะถ้าไม่งั้น จะโดนข้อสอบหลอกอ่ะสิน้อง ลองมาดูนี่เลย
a. I have went to Korea before.
b. I have been there before.

ตอบข้อไหน!? บางคนรีบ จำได้แต่เคล็ดลับข้อ1. คือเห็นhas/haveแล้วตอบเลย บางคนจำเคล็ดลับได้ทั้ง2ข้อแต่ไม่แม่นคำกริยา3ช่อง!?

ดั้งนั้น เดี๋ยวโพสต่อไปพี่จะลงเรื่องคำกริยา3ช่องเบื้องต้นก็แล้วกันนะ วันนี้เอาแค่นี้ก่อนเดี๋ยวมึนนะเด็กๆ

ป.ล เป็นการอธิบายPresent Perfectแบบเน้นที่การหาว่าอะไรคือPresent Perfectเท่านั้น ยังไม่ได้มีการอธิบายถึงวิธีการทำความเข้าใจว่าใช้เมื่อใด แต่งประโยคยังไง โปรดติดตามตอนต่อไปเน้อ~ ^^


Thursday, January 19, 2012

ห้องเรียนเฉพาะกิจ (Exclusive Class)

ห้องเรียนเฉพาะกิจ (Exclusive Class) : สำหรับน้องๆนักศึกษาของวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา พี่ทราบมาว่าพวกเราเรียนหนังสือเล่มนี้กันอยุ่ เรียนถึงครึ่งหลังแล้วใช่มั๊ย ใครก้อได้มาบอกพี่ทีว่าเรียนถึงบทไหนกันแล้วจริงๆ จะได้ตามให้ถูก แต่ตอนนี้อาจารย์ชมกรแนะนำมาว่าน่าจะเรียนเลยบทที่สิบไปแล้ว ถ้ายังไงเดี๋ยวพี่จะสรุปออกมาให้เป็นบทๆไปก้อแล้วกันนะ แต่ถ้าใครมีคำถามอะไรเกี่ยวกับบทเรียนนี่ก้อให้โพสถามมาก่อนได้เลยจ้ะ ~ ^^

Tuesday, January 10, 2012

ฟังให้รู้ดูให้เห็น(Listening Test) : "Lucky" by "Jason Mraz"

ฟังให้รู้ดูให้เห็น(Listening Test) : วันนี้มาอยู่กันที่เพลงฟังง่ายๆสบายๆ ทุกคนรู้จักแน่นอน เพลง "Lucky" ของ "Jason Mraz" และเพราะมันง่ายๆสบายๆนี่แหละ จะทำให้เราฟังออกได้ง่ายขึ้นเยอะ แถมการร้องสดๆก้อเหมือนกับการพูดนั่นเอง ตัวเติมมีทั้งหมด66ช่อง ไหวมั๊ย!? ไหวสิ!!! เน้นว่าให้ฟังหลายๆรอบ พยายามเติมให้ได้ทุกช่อง ช่องไหนเติมไม่ได้ให้เขียนคำอ่านภาษาไทยเน้นตามที่เราได้ยินเน้อออ~
ป.ล. เซียนเนททั้งหลาย ไม่ต้องไปsearchหาเนื้อเพลงเลย มานี่เลย ฟังแล้วเติมนี่แหละ ท้าทายหูดีนะเออ~ ^^
(1) ..... (2) ..... (3) ..... (4) ....., (5) ..... (6) ..... (7) ..... (8) .....
(9) ..... the (10)..... (11) ..... the deep blue (12) .....
Under the (13)..... sky oh my, baby I'm (14) .....
Boy I (15)..... you in my (16).....
I feel your (17)..... (18)..... the (19).....
I (20)..... you with me in my (21).....
You make it (22)..... when (23)..... (24)..... (25).....
I'm lucky I'm in love with my best friend
Lucky to have been where I have been
Lucky to be coming home again
Oooohhhhoohhhhohhooohhooohhooohoooh
(26)..... (27)..... (28)..... (29)..... (30)..... (31)..... (32).....
Waiting for a love like this
Every time we say goodbye
I wish we (33)..... one more kiss
I'll wait for you I (34)..... you, I will
*I'm lucky I'm in love with my best friend
Lucky to have been where I have been
Lucky to be coming home again
Lucky we're in love in (35)..... (36).....
Lucky to (37)..... (38)..... where we (39)..... (40).....
Lucky to be coming home someday
And so I'm (41)..... (42)..... the sea
To (43)..... (44)..... where we'll (45).....
You'll (46)..... the music, (47)..... the air
(48)..... (49)..... (50)..... (51)..... (52)..... (53)..... (54).....
Though the (55)..... through (56).....
Move so (57)..... you're (58)..... I see
As the world (59)..... spinning 'round
(60)..... (61)..... (62)..... (63)..... (64)..... (65)..... (66).....
(*)
Ooohh ooooh oooh oooh ooh ooh ooh ooh
Ooooh ooooh oooh oooh ooh ooh ooh ooh

Monday, January 9, 2012

คุณขอมา (Requested Topic) : Sequencing – How to use FIRST, NEXT, LAST and FINALLY


คุณขอมา (Requested Topic) : น้องหมาป่าทำให้ีพี่ไปนั่งหาตัวอย่างเรื่อง Sequencing – How to use FIRST, NEXT, LAST and FINALLY มาจนได้ นี่เลยน้อง พี่ท่องโลกเนตไปๆมาๆ ไปเจอแบบฝึกหัดอันนี้ น่าสนใจมาก พอจะทำให้เข้าใจเรื่องนี้มากขึ้นอยู่นะ ลองทำกันเลยยยย~

Choose the best word to fill in the blanks.
To build a tree house, (1)_______, choose a sturdy tree. (2)_______, you should design the treehouse before you begin to build. (3)_______ you should start with the floor. (4)________, you build the walls. (5)_______, you can build a roof.

(1) a.first  b.next  c.then
(2) a.Last   b.First   c.Third   d.Next
(3) a.Second   b.Then   c.Last
(4) a.After that   b.Finally   c.One day
(5) a.Finally   b.First of all   c.Ending

พี่ลองทำดูแล้ว ถูกหมด แสดงว่าใช้ได้อยู่นะแบบฝึกหัดนี้ ใครสนใจลองเล่นม๊ายยย แล้วจะกลับมาเฉลยพร้อมบอกเครดิตเวบที่มาให้ น่าสนใจอยู่เวบนี้~ ^^

ติดตาม "คุณขอมา (Requested Topic)" ได้ที่ 

อยากพูด-พูดเล้ย (Just Say It) : "Thank you" / "Thanks"

อยากพูด-พูดเล้ย (Just Say It) : แอบไปเห็นการโต้ตอบภาษาอังกฤษแบบเล็กๆน้อยๆในเวบแฟนคลับ สังเกตุว่ามีการเขียนผิดอยู่นิดส์นึง ไมพูดเลยก้อไม่ได้ เอากันตรงนี้แหละนะ จะได้เผื่อคนอื่นๆเค้าด้วย~

คำว่า "ขอบคุณ" ในภาษาอังกฤษนี่นะ เห็นกันได้บ่อยๆอยู่สองสามคำ "Thank you./Thank you very much./Thank you so much" 

แต่มีคำว่า "ขอบคุณ" อีกคำนึง ที่ค่อนไปทางความหมายว่า "ขอบใจ" คือคำว่า "Thanks./Thanks a lot"

***Thank you นี่นะเขียนง่าย เพราะมันมาเป็นคู่ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คำว่า "Thank" มันอยู่เดี่ยวๆไม่มี "You" แล้วเนี่ย ช่วยเอา "s" ไปเติมหลังมันด้วยเน้อ จะได้คำว่า "Thanks" หรือ "Thanks a lot" นั่นเอง~

ป.ล. น้องๆคนไหนมีความคิดสร้างสรรค์ รวมเอาทั้งสองอย่างเข้าด้วยกันกลายเป็น "Thanks you." นี่ก้อผิดทันตาเห็นเลยคับพี่น้องคับ เลือกเอาซักอย่างคับ "Thank you" หรือ "Thanks"~

***ยังมีสำนวนคำว่า "ขอบคุณ" อีกนะ อาจจะเคยมีใครได้ยินมาบ้างแล้วกับ "Thanks a million." กับ "Thanks a bunch." (bunch อ่านว่า บั๊นช์)

มีอีกมั๊ยสำนวนคำว่า "ขอบคุณ" ใครพอรู้บ้างเอ่ย ช่วยแชร์หน่อยจิ~ ^^


ติดตาม "อยากพูด - พูดเล้ย (Just Say It)" ได้ที่


ฟังให้รู้ดูให้เห็น(Listening Test) : TOEIC Listening Part

ฟังให้รู้ดูให้เห็น(Listening Test) : เอามาฝากกันอีกคลิบนึง อันนี้เป็นแบบให้ดูรูปแล้วสรุปเหตุการณ์ว่ารูปนี้จะบรรยายได้ว่าอะไร ใครที่เคยสอบโทอิคจะคุ้นมากกกกก ถ้าน้องหมาป่าบอกว่าสอบภาษาอังกฤษวันพฤหัสนี้คล้ายๆกับสอบโทอิค คลิบที่พี่ลงสองอันนี้ใกล้เคียงสุดแล้ว 

วิธีทำแบบฝึกหัดคลิบนี้นะ ให้ฟังครั้งเดียวแล้วตอบเลย ห้ามกดหยุดนะ ทำจนครบ10ข้อแล้วถึงจะเห็นเฉลยตอนจบ แต่พี่แนะนำว่าอย่าเพิ่งดูเฉลย เมื่อครบ10ข้อแล้วให้เลื่อนกลับไปที่ข้อแรกใหม่ แล้วฟังอีกที ดูคำตอบที่เราตอบไปว่าใช่มั๊ย ให้ลองฟังดูทั้งหมด3-5ครั้งแล้วถึงจะดูเฉลย แล้วจะดี เน้นว่า'อย่า' ดูเฉลยก่อนเด็ดขาด จะไม่ได้อะไร

ทำไมต้องฟังหลายรอบ!? พี่บอกได้คำเดียว ว่ามันคือหลักการเดียวกับที่สินค้าทำไมต้องลงโฆษณา เพราะคน ถ้าเห็นบ่อยๆ แล้วถึงจะเกิดความอยากได้อยากลอง แล้วคิดดูเราฟังประโยคซ้ำๆกันหลายๆรอบ เราจะเริ่มจับใจความได้เองว่าเค้าพูดว่าอะไร ประเด็นมันอยู่ตรงนี้แหละน้องเอ้ยยย เพราะฉะนั้น ถ้าจะเอาจริงกับมัน ก้อสู้ๆเน้อออ ถ้ามีปัญหาอะไรเกี่ยวกับ2คลิบนี้ ถามพี่มาได้เลย ใครจะสนใจลองเล่นดูก้อได้นะ เรียกสมาธิได้ดีทีเดียวการฟังนี่นะ~ ^^

ฟังให้รู้ดูให้เห็น(Listening Test) : TOEIC Listening Part

ฟังให้รู้ดูให้เห็น(Listening Test) : เอามาฝากน้องหมาป่า ได้ยินว่าจะมีสอบฟังภาษาอังกฤษแบบโทอิควันพฤหัสนี้ ลองฟังอันนี้ดู ระดับIntermediate ค่อยๆทำไปทีละข้อ พอเค้าอ่านคำถามพร้อมตัวเลือกเสร็จแล้ว แนะนำให้กดหยุด(pause) แล้วเลือกคำตอบก่อนที่เค้าจะเฉลย แล้วจะดี พยายามอย่าฟังเลยไปจนถึงคำตอบนะ ถ้าทำได้ก้อจะได้อะไรเยอะมากๆจากคลิบนี้~ ^^

คุณขอมา (Requested Topic) : Telling the Time


คุณขอมา (Requested Topic) : เป็นรีเควสที่มาจากน้องหมาป่า ถามมาว่า อ่านเวลาเป็นภาษาอังกฤษยังไง มันงงๆ น่ารักมากน้องหมาป่า ถามมาแบบนี้พี่ชอบตอบ น้องๆคนไหนที่กะลังงงกับเรื่องเวลาเป็นภาษาอังกฤษ มาที่โพสนี้ได้เลย~

ถ้ามีคนมาถามเราว่า "What time is it?" วิธีตอบที่ง่ายที่สุด(เน้นว่าง่ายที่สุด) คือให้ตอบเป็นตัวเลขที่เห็นจากนาฬิกาตัวเอง ณ ตอนนั้น เช่นเวลา 10.15 (10โมงเช้ากับอีก15นาที คนไทยตอบสั้นๆว่า 10โมง15ด้วยเหอะ) ให้ตอบเป็น "It's 10.15." อ่านได้ว่า It's ten fifteen. วิธีการตอบแบบนี้ง่ายที่สุดแล้ว ถามมาอีกว่า อ่าวแล้วมันกลางคืนหรือกลางวันหล่ะเนี่ย!?  ตอบแบบง่ายๆคือตอนที่ถามอ่ะ มันตอนกลางวันหรือตอนกลางคืนหล่ะ!? ถ้าตอนกลางวัน งั้นก้อ10โมงเช้า ถ้าตอนกลางคืน ก้อ4ทุ่ม เป็นอันรู้กัน

ส่วนการอ่านเวลาแบบยากๆ(ในแบบของคนที่งงเรื่องการอ่านเวลาอยู่แล้วนะ) จะแบ่งได้หลายแบบ คือแบบ "am/pm (12 hour clock)" กับแบบ "24 hour Clock" ดังต่อไปนี้ :

แบบam/pm(12 hour clock) นี่ก่อนอื่นบอกก่อนว่า ...
AM  = ante meridiem   คือเวลาหลังเที่ยงคืนถึงเที่ยงวัน
PM  = post meridiem  คือเวลาหลังเที่ยงวันถึงเที่ยงคืน

วิธี"เขียน"ของเค้าคือจะเติมไม่amก้อpmตามหลังเวลาเสมอ เช่น 01.00am คือ "ตีหนึ่ง" ภาษาไทย แต่เวลา"อ่าน"เป็นภาษาอังกฤษอ่าน "one o'clock in the morning" แต่ 01.00pm คือ "บ่ายโมง" ภาษาไทย แต่เวลาอ่านเป็นภาษาอังกฤษอ่าน "one o'clock in the afternoon"

06.00am = หกโมงเช้า(ไทย) , six o'clock in the morning (ภาษาอังกฤษ)
06.00pm = หกโมงเย็น(ไทย) , six o'clock in the evening  (ภาษาอังกฤษ)
***สังเกตุได้ว่าเวลาอ่านจะต้องมีคำว่า ...in the morning, ...in the afternoon, ...in the evening, ...at night ตามหลังมากำกับด้วยตลอดเวลาเพื่อที่จะบอกว่ามันเช้าสายบ่ายเย็นกลางคืนนั่นเอง


แบบ"24 hour clock" จะสังเกตุได้ว่าตัวเลขบอกเวลาจะเริ่มจาก 00.00-23.59 (เที่ยงคืนไปยันห้าทุ่มห้าสิบเก้านาที) ตัวเลขทั้ง24ตัวจะบอกเวลาได้เองว่าตอนนั้นเช้าสายเที่ยงบ่ายเย็นดึกเป็นต้น เวลาที่ใช้เป็นทางการส่วนใหญ่จะใช้แบบ24hour clockนี่แหละ ไม่ต้องเติมam/pmให้ยุ่งยาก โดยเมื่อนาฬิกาถึลเที่ยงวันแล้วจะเดินต่อไปที่เลข1ซึ่งก้อคือบ่ายโมง ถ้าเขียนแบบ"24 hour clock" จะเป็น 13.00 เขียนเลขเรียงต่อไปเรื่อยๆจนไปถึง5ทุ่มไทย นั่นก้อคือ 23.00

09.00 คือ เก้าโมงเช้า
13.00 คือ บ่ายโมง(ไทย)
16.00 คือ สี่โมงเย็น
20.00 คือ สองทุ่ม

มาถึงเรื่องที่น้องหมาป่าสงสัย คิดว่าไม่ใช่เรื่องที่พูดมาทั้งหมดนี้หรอก แต่เป็นเรื่องการอ่านเวลาที่มีคำว่า to,past, a quarter past, a quarter to, half to, half past อะไรพวกนี้มากกว่า พี่เดาถูกมั๊ยน้อง!?

ตามนี้นะน้องหมาป่า ก่อนอื่นเลยมาทำความเข้าใจกับ to,past, a quarter past, a quarter to, half to, half past กันก่อนนะ เอากันแบบไทยๆเลยนะ
to แปลว่า "อีก...จะ..."
past แปลว่า "ผ่าน/เลย...มาแล้ว..."
***a quarter นี่แปลได้อย่างเดียวว่า 15นาที (เฉพาะเรื่องของเวลานะ)
a quarter past แปลว่า "ผ่าน...มาแล้ว15นาที"
a quarter to แปลว่า "อีก15นาทีจะ..."
***half นี่แปลได้อย่างเดียวว่าครึ่ง หรือ30นาที
half to แปลว่า "อีกครึ่งชั่วโมงจะ..." หรือ "อีก30นาทีจะ..."
half past แปลว่า "ผ่าน/เลย...มาแล้วครึ่งชั่วโมง" หรือ "ผ่าน/เลย...มาแล้ว30นาที"

เมื่ิอเอาเข้าตัวอย่างแล้วจะออกมาแบบนี้ ...

A : What time is it?
B : It's 09.50.
***It's nine fifty. เวลา9โมง50นาที
***It's 10 minutes to 10. อีก10นาทีจะ10โมง

A : What time is it?
B : It's 09.15.
***It's nine fifteen เวลา9โมง15นาที
***It's a quarter past nine.  ผ่าน/เลย9โมงมาแล้ว15นาที

A : What time is it?
B : It's 09.45.
***It's nine forty-five. เวลา9โมง45นาที
***It's a quarter to ten. อีก15นาทีจะ10โมง

A : What time is it?
B : It's 10.15.
***It's ten fifteen. เวลา10โมง15นาที
***It's a quarter past ten. ผ่าน/เลย10โมงมาแล้ว15นาที

A : What time is it?
B : It's 11.30
***It's half past eleven. เวลา11โมงครึ่ง
***It's thirty minutes to twelve.  อีกครึ่งชั่วโมงเที่ยง

พอจะเข้าใจยังน้องหมาป่า? พี่จะตอบดักไว้ก่อนเผื่อมีคนถามว่าแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเมื่อไหร่ใช้ to เมื่อไหร่ใช้ past!? ตามหลักแล้ว ถ้าเวลามันเลยโมงมาไม่ถึง30นาทีก้อให้ใช้ past แล้วถ้ามันเลยโมงมามากกกว่า30นาทีแล้วให้ใช้ to แต่ถ้าเอากันจริงๆ จะพูดยังไงก้อพูดกันไปเถอะ เพราะจุดประสงค์คือการบอกเวลา แต่วิธีอ่านที่ง่ายที่สุดคือการอ่านตัวเลขออกไปเลยคับพี่น้องคับ~

น้องหมาป่าคิดว่าเข้าใจรึยัง ถ้าเข้าใจแล้วต้องทำไง รู้ใช่มั๊ย ฮ่าๆๆๆ แต่งมา พี่รออ่านอยู่~ ^^

ติดตาม "คุณขอมา (Requested Topic)" ได้ที่ 



Sunday, January 8, 2012

เกร็ดภาษาน่ารู้(Language Tips) : "Welcome to Thailand." กับ "Welcome back to Thailand."

เกร็ดภาษาน่ารู้(Language Tips) : วันนี้จะมาพูดถึงความแตกต่างระหว่าง "Welcome to Thailand." กับ "Welcome back to Thailand." พอดีไปเห็นน้องหมาป่าเขียนในเวบแฟนคลับเลยได้ไอเดียเอามาไขให้กระจ่าง เผื่อน้องๆอีกหลายคนที่ยังงงๆอยู่ 

"Welcome to Thailand." นี่นะ ส่วนใหญ่จะใช้พูดกับคนที่เพิ่งมาเมืองไทยเป็นครั้งแรก 

"Welcome back to Thailand." คือใช้พูดกับ คนที่อยู่เมืองไทยนี่แหละ จะคนไทยหรือฝรั่งก้อได้ แล้วก้อเดินทางไปต่างประเทศ จะไปสั้นไปยาว แต่คือสุดท้าย กลับมาเมืองไทย เราก้อจะทักเค้าว่า "Welcome back to Thailand."

***อย่างกรณีของน้องหมาป่า ทักทายดาราไทยที่ไปโชว์ตัวที่ประเทศจีนมา3วัน แล้วเพิ่งกลับมาไทยเมื่อเช้า แบบนี้เรียกได้ว่า "Welcome back to Thailand." (ยินดีต้อนรับกลับสู่ประเทศไทย) แต่ถ้าสมมุติวันนึง น้องหมาป่าไปเป็นแฟนคลับศิลปินหรือดาราต่างชาติ แล้วเค้ามาโปรโมทที่ไทยเป็นครั้งแรก เราไปรับที่สนามบิน แบบนี้โชว์ป้ายหรือตะโกนไปได้เลยว่า "Welcome to Thailand." แล้วถ้าในอนาคต ศิลปินหรือดาราต่างชาติคนนี้ได้มีโอกาสกลับมาโชว์ตัวที่ประเทศไทยอีก ให้พูดเลยว่า "Welcome back to Thailand." ~

ไหนใครเข้าใจแล้วยกมือหน่อยสิจ๊ะ~ ^^


ติดตาม "เกร็ดภาษาน่ารู้ (Language Tips)" ได้ที่

อยากพูด-พูดเล้ย (Just Say It) : "He's not gonna make it."

อยากพูด-พูดเล้ย (Just Say It) : สงสัยว่าคอลั่มนี้จะได้มาจากการไปบินแต่ละครั้งนะนี่ วันนี้จะเอาประโยคๆนึงมานำเสนอ ได้มาจากไฟลท์กรุงเทพวันนี้เลย นั่งอ่านนิตยสาร "National Geographic" แล้วเจอพอดี ประโยคนี้นี่ส่วนใหญ่จะได้ยินจากไม่หนังก้อละครนี่แหละ "He's not going to make it." หรือ "He's not gonna make it." รู้มั๊ยแปลว่าอะไร!?

พูดถึง "He's not going to make it." หรือ "He's not gonna make it." นี่มันก้อแปลได้หลายอย่างในหลายๆสถานการณ์ มาดูตัวอย่างกัน

ใครที่รู้จักหรือเคยดูรายการ "Fear Factor" ต้องเคยได้ยินแน่นอน เพราะเป็นรายการที่เอาคนมาแข่งขันทำอะไรกันแบบสุดโต่งน่ากลัวๆ เวลาผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนกำลังทำภารกิจของตัวเองอยู่ ทั้งตัวพิธีกร ผู้เข้าแข่งขัน หรือแม้แต่คนดูก้อจะ"ลุ้น"ตามไปด้วย ทีนี้พอใกล้จะหมดเวลา ทุกคนก้อพอจะเดาได้ว่าผู้เข้าแข่งขันคนนี้ จะทำได้หรือไม่ได้ สมมุติว่าคิดว่าทำไม่ได้แน่นอน ทุกคนก้อจะพูดออกมาเลยว่า "He's not gonna make it." แปลเป็นภาษาไทยบ้านๆได้ว่า "สงสัยจะไม่รอด/ไม่ผ่านแหง๋"

มาดูอีกตัวอย่างนึง (เลือดสาดหน่อยนะอันนี้) สมมุติว่าเราดันไปเห็นเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำ แล้ววิ่งเข้าไปช่วยคนเจ็บ พอส่งโรงพยาบาล ดูจากสภาพแล้ว โอ้โห เลือดโชก สมองเปิด ไส้ไหล ว่ากันไป เพื่อนที่มาด้วยกับเราพูดขึ้นมาว่า "Do you think she's gonna make it?" (เธอคิดว่าเค้าจะรอดมั๊ยอ่ะ) ประเมินจากสภาพแล้วก้อตอบไปว่า "No, she's not gonna make it." หรือพูดอีกแบบนึงได้ว่า "I don't think she's gonna make it." ทั้งสองแบบแปลได้ว่า "คิดว่าไม่รอดนะ"

"He's not gonna make it./She's not gonna make it./I'm not gonna make it./We're not gonna make it./They're not gonna make it." ยังมีตัวอย่างอีกเยอะ แต่ว่าอธิบายคนเดียวเดี๋ยวจะเหนื่อยไป รอคนใจดีมาต่อให้ก้อแล้วกันนะ หรือถ้าน้องๆที่อ่านแล้วเข้าใจ เหมือนเดิมเลยค้าบบบบ แต่งประโยคพร้อมบอกสถานการณ์มาได้เลยนะ~ ^^


ติดตาม "อยากพูด - พูดเล้ย (Just Say It)" ได้ที่