Tuesday, September 18, 2012

คำคมวันละนิด จิตแจ่มใส (A Quote A Day) : "Tough times never last, tough people do."


คำคมวันละนิด จิตแจ่มใส (A Quote A Day) : ขอแนะนำคอลั่มใหม่เอี่ยมแกะกล่อง "คำคมวันละนิด จิตแจ่มใส (A Quote A Day)" ~ ^^

เนื่องจากว่าส่วนตัวแล้วเป็นคนชอบอ่าน Quote หรือคำคมมากกกก เพราะว่ามันสั้น ได้ใจความ แล้วก็มีความหมายในตัวเลยเดี๋ยวนั้น การอ่านหนังสือก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ใช้เวลากว่าจะจบ ซึ่งแต่ละเล่มเค้าก็จะมีรายละเอียดให้เราค่อยๆเก็บสะสมไป การอ่านหนังสือจึงเหมาะกับผู้ที่มีเวลา บวกกับความหลงใหลในการเขียนของผู้เขียนเรื่องนั้นๆ

Quote หรือคำคม จึงเป็นอะไรที่เข้าใจได้ง่าย รวดเร็ว สามารถนำไปปรับใช้ได้เลย จึงขอนำเสนอ Quote หรือคำคมมาไว้ในอ้อมกอดของผู้กดไลค์ทุกท่านนะขอรับกระผม ~

ประเดิมคำคมแรกวันนี้ เป็นคำคมที่ตัวเองชอบมาก สั้น ได้ใจความ จริง อยู่ในโหมดให้กำลังใจได้ดีเลยทีเดียว ...

"Tough times never last, tough people do." 

แปลได้ว่า ช่วงเวลาที่มันแย่ๆ มันจะไม่อยู่กับเรานาน แต่คนที่เข็มแข็งเท่านั้นที่จะอยู่ได้นาน

Tough (อ่านว่า ทัฟ) แปลได้หลายอย่างอยู่ เช่น เหนียว,ทนทาน,ไม่เปราะ,บึกบึน,ดื้อรั้น,แข็งแรง,ยาก,ใจแข็ง,ร้าย, อันธพาล,วายร้าย เป็นต้น

Tough times ในที่นี้เลยหมายถึง ช่วงเวลาที่ยากลำบากนั่นเอง
Tough people ในที่นี้ก็คือคนที่มีความอดทน อดกลั้นต่อทุกสิ่ง

เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ทุกคน อย่ายอมแพ้เด็ดขาด สู้ๆกับทุกเรื่องนะขอรับกระผม~ ^^

พบกันใหม่คำคมหน้านะค้าบบบบบบ ~

ใครชอบอ่านคำคมเหมือนกัน กดโลดดดด มีให้อ่านอีกเยอะเลยสำหรับคอลัมน์นี้ 
>>> รวมทุกโพสต์ของ "คำคมวันละนิด จิตแจ่มใส (A Quote A Day)" <<<

Friday, September 14, 2012

คุณขอมา (Requested Topic) : ประโยคที่ให้กำลังใจ หรือปลอบใจ


คุณขอมา (Requested Topic) : ประโยคที่ให้กำลังใจ หรือปลอบใจ

ตามคำขอค่ะคุณทักษา คั่นเรื่องคำเชื่อมประโยคที่เหลือก่อนนะค่ะ~

เวลาเราต้องการจะพูดให้กำลังใจใครหรือปลอบใจใคร ก็พูดตามแต่ระดับของสถานการณ์นั้นๆค่ะ

ถ้าได้ยินว่ามีคนที่เรารู้จักไม่สบายหรือเสียชีวิต สัตว์เลี้ยงหายหรือเสียชีวิต ของสำคัญมากๆหายไป บ้านไฟไหม้หรือน้ำท่วม ... เรื่องอะไรก็ตามที่เป็นเรื่องเศร้าๆกระทบจิตใจของทั้งผู้พูดแล้วก็ผู้ฟัง ประโยคแรกที่เราควรจะพูดออกไปคือ "I am sorry to hear that." เป็นประโยคที่แสดงออกถึงความเสียใจที่เรามีต่อสิ่งที่เกิดขึ้นนั่นเอง เป็นประโยคบังคับที่ต้องพูดค่ะ

มีอยู่สำนวนนึงที่ออกแนวเป็นคำอุทาน ออกแนวว่าเราพูดเปรยกับตัวเองว่า แย่จัง แย่จริง อะไรทำนองนี้นะค่ะ คือ "Poor thing."

ประโยคอื่นๆที่ตามมา จะกลายเป็นประโยคปลอบใจหรือให้กำลังใจค่ะ

อย่างถ้าอยากจะให้เค้าเข็มแข็งต่อไป พูดว่า "Be strong."

อยากจะให้กำลังใจคนที่คิดต้องการจะเลิกทำอะไรสักอย่างที่มันไม่ดี แต่เค้าไปต่อไม่ไหว เพราะมันยากที่จะเลิก แนวๆเลิกบุหรี่ เลิกเหล้าเข้าพรรษาอะไรทำนองนี้นะค่ะ พูดเลยว่า "Don't give up."

อยากจะให้กำลังใจว่าเธอต้องทำได้ เชื่อชั้นสิ ประมาณนี้ จะพูดได้ว่า "You can do it."

***รวม2ประโยคเข้าด้วยกันกลายเป็น "Don't give up! You can do it!" อย่ายอมแพ้นะ เธอทำได้

ถ้าอยากจะให้เค้าอดทนต่อไป สู้ต่อไปอีกนิด เดี๋ยวทุกอย่างจะดีเอง ใช้ "Hang in there."

"Hang in there." นี่ ถ้าใครดูหนังฝรั่งเยอะๆ เจอแน่นอนค่ะ สมมุติว่าตึกถล่ม มีคนติดอยู่ข้างใน บาดเจ็บสาหัสแต่ยังไม่เสียชีวิต เจ้าหน้าที่มากู้ภัย เห็นแล้ว ตะโกนลงไปว่า "Hang in there." ออกแนว ทนอีกหน่อยนะ รอแป๊บเดียวนะ

ใครดูละครเกาหลีออกแนวดราม่าเยอะๆ ไม่นางเอกก็พระเอกเป็นมะเร็ง ก่อนจะเสียชีวิต ก็จะได้ยินคำว่า "Don't you die on me." หรือ Don't die on me." แปลได้ว่า อย่าตายนะ

ทั้งหมดนี้เจอได้บ่อยๆนะคะ อาจจะมีประโยคอื่นๆอีก ถ้ายังไงคุณทักษาลองแต่งเรื่องสั้นๆ(เป็นภาษาไทยนี่แหละค่ะ)ขึ้นมา แล้วบอกแอนว่าจะใช้ประโยคที่ให้กำลังใจหรือปลอบใจประโยคไหนดีค่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าเราได้ใช้คำพูดที่ตรงต่อสถานการณ์นั้นๆนะคะ ~ ^^

ติดตาม "คุณขอมา (Requested Topic)" ได้ที่ 
>>> รวมทุกโพสต์ของ "คุณขอมา (Requested Topic)" <<<

คุณขอมา (Requested Topic) : คำเชื่อมประโยค (Conjunction) เฉลยแบบฝึกหัด

คุณขอมา (Requested Topic) : คำเชื่อมประโยค (Conjunction) เฉลยแบบฝึกหัด

คุณทักษาตอบมาแล้ว8ข้อนะคะ เรามาดูกันทีละข้อเลยค่ะ ~

1 . I AM GOING TO LAMPANG FOR WEEKEND.

ถ้าคุณทักษาต้องการหมายถึง ฉันจะไปลำปางสุดสัปดาห์(เสาร์-อาทิตย์)นี้ล่ะก็ ต้องพูดว่า I am going to Lampang on the weekend./I am going to Lampang in the weekend./I am going to Lampang at the weekend.

***ทั้ง3ประโยคถูกหมดค่ะ แต่ถูกในแนวที่ว่ามันเป็นแบบของAmerican หรือ British เท่านั้นเองค่ะ ความหมายที่ได้อาจจะต่างไปเล็กน้อยเพราะเน้นในรายละเอียดต่างกัน แต่ความหลายหลักๆคือ ไปลำปางช่วงสุดสัปดาห์นี้แน่นอนค่ะ ~

แต่ข้อ1นี้ หลักๆคืออยากจะให้คุณทักษาแต่งออกมาทำนองว่า ไปที่ไหนแล้วไปทำอะไรที่นั่นมากกว่าค่ะ ในที่นี่ จะกลายเป็น I am going to Lampang for a holiday. คือไปลำปางเพื่อไปพักผ่อนหย่อนใจ อะไรทำนองนี้ค่ะ หรือว่าถ้าจะบอกว่า ไปลำปางเพื่อไปเจอเพื่อนๆ พูดได้ว่า I am going to Lampang to see my friends. หรือไปลำปางเพื่อไปติดต่อธุรกิจ พูดได้ว่า I am going to Lampang for a business. พอได้มั๊ยค่ะ~

2. WHAT WOULD YOU LIKE FOR YOUR WEEKKEND?

ข้อนี้ถ้าตอบแบบนี้ ความหมายจะไม่ได้ค่ะ แต่สามารถทำประโยคของคุณทักษาให้ออกมามีความหมายได้โดยการเติมคำกริยาเข้าไปแล้วเอาforออกค่ะ

What would you like to do on the weekend? เสาร์อาทิตย์นี้เธออยากจะทำอะไร?

แต่อยากให้คุณทักษาแต่งโดยใช้ What would you like for .....? มากกว่าค่ะ มาดูประโยคกันนะคะ

What would you like for breakfast? เธออยากจะทานอะไรเป็นอาหารเช้าจ้ะ
What would you like for lunch? เธออยากจะทานอะไรเป็นอาหารกลางวันจ้ะ
What would you like for dinner? เธออยากจะทานอะไรเป็นอาหารเย็นจ้ะ

จะเห็นได้ว่า What would you like for ... ? ใช้เพื่อถามว่าอยากจะทานอะไรในมื้อ3มื้อนั้นมากกว่าค่ะ แล้ว What would you like นี่ก็เป็นการตั้งคำถามที่สุภาพมากกว่าประโยคที่ว่า What do you want หลายเท่าค่ะ ~

3. LET'S GO FOR A DEPARTMENT STORE.

ข้อนี้ถ้าต้องการเน้นว่าจะไปห้างสรรพสินค้า งั้นเราควรจะเปลี่ยนประโยคเป็น Let's go to the Department Store. หรือบอกชื่อสถานที่ไปเลยก็ได้ว่า Let's go to Central Pinklao. ไปเซ็นทรัลปิ่นเกล้ากันเถอะ หรือ Let's go to the beach. ไปทะเลกันเถอะ

ถ้าต้องการจะบอกว่าไปชอปปิ้งกันเถอะ จะกลายเป็น Let's go for shopping. (คำกริยาที่ตามหลัง for ต้องเป็น v-ing เสมอค่ะ) แต่ถ้าเป็นคำนาม จะมี a นำหน้าค่ะ อย่าง Let's go for a movie. ไปดูหนังกันเถอะ สังเกตุได้ว่าไม่มีคำกริยาที่แปลว่าดู ในประโยค Let's go for a movie. เลย อยากจะบอกว่า Let's go for a movie. เป็นประโยคภาษาอังกฤษที่เค้ากำหนดมาแล้วว่ามันแปลว่าไปดูหนังกันเถอะนั่นเอง ถามว่าอยากเห็นคำกริยาว่าดูในประโยคนี้ได้มั๊ย ได้ค่ะ พูดได้ว่า Let's go to see a movie.

เราสามารถรวมประโยคเข้าด้วยกันเป็นความหมายยาวๆว่า Let's go to Central Pinklao for shopping. ไปชอปปิ้งที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้ากันเถอะ หรือ Let's go to Central Pinklao for a movie./Let's go to Central Pinklao to see a movie. ไปดูหนังที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้ากันเถอะ ~

4. LET'S GO TO THE SHOPPING MALL FOR CINEMA.

ประโยคนี้ลงตัวมากค่ะ ได้ใจความเลยทีเดียว ผ่านค่ะ ~

5. MY FRIEND WORKS TOO HARD FOR FAMILY.

เป็นประโยคที่ดีมากค่ะ สื่อออกมาว่าเพื่อนทำงานหนักมากเพื่อก็เพื่อครอบครัวนั่นเอง ~

6. WHAT IS THIS KNIFE FOR?

ถูกต้องค่ะประโยคนี้ แปลว่ามีดนี้ใช้สำหรับทำอะไร ในโลกของการทำอาหาร มีดที่ใช้มีหลายแบบจริงๆค่ะ ใช้หั่นใช้สับใชัสารพัด บางทีเราตั้งคำถามไปเพื่อที่จะได้ไม่เอาไปใช้ผิด มีดอาจจะเสียหรือทื่อไปเลยก็ได้ค่ะ ~


7. THERE IS NO A GIFT FOR MY SON.

ประโยคนี้คุณทักษาต้องการจะบอกว่าไม่มีของขวัญให้/สำหรับลูกชายเลย ประโยคจะถูกต้องที่สุดถ้าเอา a ออกค่ะ กลายเป็น There is no gift for my son. ~

8. I AM LOOKING FOR A FRIEND.

ประโยคนี้เป็นคำตอบของคำถามที่ว่า "What are you looking for?" เธอมองหาอะไรอยู่หน่ะ I am looking for a friend. คือ มองหาเพื่อนอยู่ a friend นี่ไม่ได้เจาะจงนะคะว่าเพื่อนคนไหน แค่เพื่อนคนนึง คุณทักษาคงไม่อยากจะบอกว่ามองหาใครอยู่ แต่ถ้าอยากจะเจาะจงไปเลยว่ามองหาใคร แต่งได้ว่า

I am looking for my son. มองหาลูกชายอยู่ (ประมาณว่าเมื่อกี้ยังอยู่ตรงนี้ ตอนนี้ไปซนที่ไหนซะแล้ว)
I am looking for Lucky. มองหาเจ้าลักกี้ (เจ้าลักกี้วิ่งเล่นไปรอบบ้าน จะเรียกมากินข้าว อ่าวหายไปไหนอีกแล้ว)
I am looking for a gift for my son. หาของขวัญให้ลุกชายอยู่ (ใกล้จะถึงวันเกิดลูกชายแล้ว คุณทักษาเลยไปเดินเล่นที่ห้าง เพื่อไปหาของขวัญให้ลูกชายค่ะ) ~

ทั้ง 8 ข้อนี้ คุณทักษาพอจะเข้าใจรึยังค่ะ? ~ ^^

ติดตาม "คุณขอมา (Requested Topic)" ได้ที่ 
>>> รวมทุกโพสต์ของ "คุณขอมา (Requested Topic)" <<<

Thursday, September 13, 2012

คุณขอมา (Requested Topic) : คำเชื่อมประโยค (Conjunction)


คุณขอมา (Requested Topic) : คำเชื่อมประโยค (Conjunction)

เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสอธิบายภาษาอังกฤษให้กับคุณทักษาค่ะ ถามมาเรื่อง คำเชื่อมประโยคที่ใช้กันทั่วไป ยกตัวอย่างมาคำว่า for และ which of นั้นใช้อย่างไร ~

ก่อนอื่นแอนขอรวมรวมคำเชื่อมประโยคที่เห็นกันโดยทั่วไปก่อนนะค่ะ

and (และ)

besides (นอกจาก)

as well as (และ , เช่นเดียวกันกับ)

furthermore (ยิ่งไปกว่านั้น)

both ... and (ทั้ง ... และ)

not only ... but also (ไม่เพียงแต่ ... แต่ยัง)

in addition (และ)

moreover (ยิ่งไปกว่านั้น)

Although / though , even though , even if (ถึงแม้ว่า)

however (อย่างไรก็ตาม)

but (แต่)

still (ยังคง)

yet (แต่กระนั้น)

nonetheless , nevertheless (แต่กระนั้นก็ตาม)

no matter what (ไ่ม่ว่าอะไรก็ตาม)

no matter how (ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม)

either...or (ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง) , neither...nor (ไม่ทั้งคู่)

because , as , since , for (เพราะว่า , เนื่องจาก)

so , therefore , thus , hence , thereby , accordingly , consequently (ดังนั้น)

in order that  , so that (เพื่อที่ว่า)

despite , in spite of (แม้ว่า)

due to , owing to , as a result of , on account of , because of , thanks to (เพราะว่า , เนื่องจาก)

such as (เช่น)

in order to , so as to (เพื่อที่จะ)

คำเชื่อมประโยคทั้งหมดนี้ เห็นได้บ่อยสุดแล้วค่ะ แอนจะไม่อธิบายที่มาที่ไปมากมายให้ปวดหัว เน้นว่าเราเอาไปใช้ได้เลยดีกว่าค่ะ ในที่นี้ แอนขออธิบายเรื่อง for กับ which of ก่อนนะค่ะ นอกเหนือจากนี้ หากคุณทักษาไม่เข้าใจคำเชื่อมประโยคตัวไหน แอนจะอธิบายต่อให้ค่ะ ค่อยๆไปกันนะค่ะ ~

for นี่ถ้าแปลเป็นไทยจะได้ว่า เพื่อ/สำหรับ/ให้กับ และยังแปลได้หลายความหมาย ขึ้นอยู่กับตัว context หรือความหมายของประโยค ลองมาดูตัวอย่างประโยคที่มี for กันค่ะ


I am going to Korea for a holiday. ในที่นี้คือต้องการจะบอกว่าไปเกาหลีเพื่อไปพักผ่อน/พักร้อน

What would you like for dinner? เย็นนี้เราจะทานอะไรเป็นอาหารเย็นกันดี (ประโยคใกล้เคียงคือ What would you like to eat?/What would you like to eat for dinner?)

I work for United Nation (UN). ชั้นทำงานให้กับองค์กรของสหประชาชาติ

What is this switch for? สวิตช์นี้เอาไว้ทำอะไรค่ะ?

This knife is only for cutting bread. มีดนี้ไว้ใช้สำหรับหั่นขนมปังเท่านั้นนะ (ตรงนี้เน้นว่า Verb หรือคำ กริยาที่ตามหลัง for จะต้องเปลี่ยนเป็น Verb -ing เท่านั้นนะค่ะ)

There is no food left for me to eat. ไม่เหลืออะไรให้ชั้นกินแล้ว.

Let's go to the pool for a swim. ไปที่สระว่ายน้ำเพื่อว่ายน้ำกันเถอะ (จะเห็นได้ว่าภาษาอังกฤษพอแปลเป็นไทยแล้วจะทะแม่งๆ ไม่มีใครพูดประโยค ไปที่สระว่ายน้ำเพื่อว่ายน้ำกันเถอะ หรอกใช่มั๊ยค่ะ คนไทยปกติจะพูด ไปว่ายน้ำกันเถอะ ซึ่งภาษาอังกฤษภาษาพูดแล้วเอาขึ้นมาจริงๆเค้าก็พูดแค่ว่า Let's go swim!)

มาดูภาษาอังกฤษดิ้นได้กันค่ะ

Let's go for a walk. ไปเดินเล่นกันเถอะ (ที่ไหนก็ได้ ไม่ได้ระบุสถานที่)
Let's go to the park for a walk./Let's go for a walk in the park. แปลได้เหมือนกันค่ะว่า ไปเดินเล่นในสวนกันเถอะ

คุณทักษาสามารถทดสอบความเข้าใจเรื่องการใช้ for ได้จากการทำแบบฝึกหัดดังต่อไปนี้ค่ะ ~

1. I am going to ..... for .....
2. What would you like for .....?
3. Let's go for .....
4. Let's go to ..... for ......
5. My friend works for .....
6. What is ..... for?
7. There is no ..... for ..... to .....
8. ประโยคอะไรก็ได้ค่ะที่มี for แล้วตามด้วย verb -ing

ลองทำดูนะค่ะคุณทักษา วัดความเข้าใจค่ะ ~ ^^

... to be continued

ติดตาม "คุณขอมา (Requested Topic)" ได้ที่ 
>>> รวมทุกโพสต์ของ "คุณขอมา (Requested Topic)" <<<

Saturday, September 8, 2012

คุณขอมา (Requested Topic) : Verb to be (จบและ)


คุณขอมา (Requested Topic) : Verb to be (จบและ)

เก่งมากน้องยุ้ย แสดงว่าพอจะเข้าใจที่พี่อธิบายไป แต่ว่าข้อ 4. Our house ..... near to the market. คำตอบไม่ใช่ Our house are near to the market. แต่เป็น Our house is near to the market.

ประโยคแบบนี้นะน้องยุ้ย ให้ดูที่ตัวประธานหลักคือ house ไม่ใช่ our น้องยุ้ยอาจจะสับสนไปดูที่คำว่า our เพราะคิดว่าแปลว่า ของพวกเราทั้งหลาย แต่ประโยคนี้ต้องการจะบอกว่า house หน่ะ มันอยู่ใกล้ตลาด ส่วน our นั่นไปขยาย house ทีว่า บ้านที่อยู่ใกล้ตลาดหน่ะมันบ้านของพวกเรา

แต่ถ้าพี่เปลี่ยนข้อ4.เป็น Our houses ..... near to the market. แบบนี้ตอบเลยว่า Our houses are near to the market. ถูกต้องแน่นอน เพราะบ้านหลายหลังเลยที่อยู่ใกล้กับตลาดหน่ะ ถ้าเข้าใจแล้วตอบพี่ด้วยนะ พี่จะได้ผ่าน ไม่เข้้าใจไม่ต้องเกรงใจ อธิบายใหม่ได้จนกว่าจะเข้าใจเลยหล่ะ ~

อ่ะ มาดูข้อ9.กัน ..... you a doctor? น้องตอบ They you a doctor.

ตอบแบบนี้พี่ก็รู้เลยว่าเราไม่เข้าใจเรื่องการตั้งคำถามโดยใช้ Verb to be ใช่มั๊ย?

วีธีทำง่ายมาก แค่เอา verb สลับ กับ ประธาน เสร็จแล้วใส่เครื่องหมาย ? ข้างหลังประโยค จบข่าว ~ พอจะมองเห็นภาพมั๊ย ถ้านึกไม่ออก มาดูนี่มา

"You are a doctor." พอเปลี่ยนให้เป็นคำถามว่า เธอเป็นคุณหมอใช่มั๊ย ประโยคคำถามจะกลายเป็น "Are you a doctor?"

Our house is near to the market. --> Is your house near to the market?
His father is very tall. --> Is his father very tall?

พอจะเข้าใจยังน้องยุ้ย งั้นมาลองทำแบบฝึกหัดวัดความเข้าใจกันดีกว่ามาาา~

ให้เปลี่ยนประโยคข้างล่างนี้เป็นประโยคคำถาม

1. I am Thai.
2. I am from Bangkok.
3. She is my Mother.
4. My mother is a teacher.
5. My father is in Bangkok now.

***ช่วงนี้พี่บินหนักนิดนึง แต่จะพยายามมาตอบเราให้เร็วที่สุด อย่างช้าไม่น่าจะเกินวันนึงนะ ~ ^^

***น้องยุ้ยลองเลื่อนลงไปอ่านโพสเก่าๆที่พี่ลงไว้หลายเรื่องอยู่ ลองทำความเข้าใจดู มีบางเรื่องค่อนข้างใกล้เคียงกับที่พี่กำลังอธิบายเราอยู่นี่แหละ ถ้า Facebook ช้า ก็ลองคลิกเข้าไปที่ https://skulligram.blogspot.com/ ดูนะ ~



ติดตาม "คุณขอมา (Requested Topic)" ได้ที่ 

Thursday, September 6, 2012

คุณขอมา (Requested Topic) : Verb to be (ต่อ)


คุณขอมา (Requested Topic) : Verb to be (ต่อ)

ยังอยู่กันที่น้องยุ้ย ตอบมาทั้งหมด8ข้อ ส่วน2ข้อที่ผิดนั้น ทำให้พี่รู้ว่าเราไม่เข้าใจตรงไหน มาดูกัน ~

8. My teacher ..... very kind. น้องตอบ My teacher are very kind.
9. ..... you a doctor? น้องตอบ They you a doctor?

แปลว่าน้องเข้าใจเบื้องต้นแล้วว่า ...

เห็น I ต้องใส่ am
เห็น He/She/It ต้องใส่ is
เห็น You/We/They ต้องใส่ are

แต่ ถ้าประธานของประโยคเปลี่ยนไป น้องจะงง จับทางไม่ถูก

ข้อ 8. My teacher ..... very kind. คำตอบที่ถูกคือ My teacher is very kind.

จะตอบข้อ8ได้ น้องจะต้องรู้เรื่อง possessive adjective(คำคุณศัพท์แสดงความเป็นเจ้าของ) : my/our/your/his/her/its/their ก่อน

my แปลว่า ของฉัน
our แปลว่า ของพวกเรา
your แปลว่า ของคุณ/ของเธอ
his แปลว่า ของเขา(ที่เป็นผู้ชาย)
her แปลว่า ของเขา(ที่เป็นผู้หญิง)
its แปลว่า ของมัน(ที่เป็นสัตว์ หรือ สิ่งของ)
their แปลว่า ของพวกเขาทั้งหลาย

ข้อ8 เอาประธานของประโยคมาให้น้องงง My teacher คือ คุณครูของฉัน แต่ถึงตอนนี้น้องจะรู้แล้วว่า my แปลว่า ของฉัน สิ่งที่น้องต้องรู้อีกเรื่องนึงก่อนที่จะตอบ คือดูว่า My teacher นี่นะ เป็นคุณครูคนเดียว หรือหลายคน!?

เลยต้องโยงน้องไปเข้าเรื่องของ Singular(เอกพจน์) กับ Plural(พหูพจน์) จะแยกแยะเบื้องต้นได้ยังไงว่า อะไรเป็นเอกพจน์อะไรเป็นพหูพจน์ ให้ดูที่คำนามหรือประณานของประโยคว่ามี 's' หรือไม่ (เป็นวิธีดูเบื้องต้นเท่านั้น ใช้ไม่ได้กับหลักภาษาอังกฤษขั้นสูงนะ) ในที่นี้ My teacher ไม่มี 's' ข้อ 8 เลยต้องตอบ My teacher is very kind. ~

My teacher คุณครูของฉัน จะเป็น He หรือ She ในที่นี้คือคุณครูแค่คนเดียว เพราะฉะนั้น จึงต้องใช้ is ~

แต่ถ้าน้องอยากจะใช้ are น้องต้องทำให้คุณครูของน้องมีหลายคนโดยการเติม s เข้าไปที่คำว่าคุณครู My teachers แบบนี้ข้อ 8 จะกลายเป็น My teachers are very kind. ทันที

เพื่อวัดความเข้าใจของน้องยุ้ย ลองทำแบบฝึกหัดข้างล่างนี่ส่งพี่มานะ ถ้าผ่านหมด พรุ่งนี้พี่จะมาอธิบายข้อ 9 แต่ถ้ายังไม่เข้าใจ พี่จะอธิบายข้อ8เพิ่ม~

1. My mother ..... very beautiful.
2. His father  ..... very tall.
3. Her cats  ..... all fat.
4. Our house  ..... near to the market.
5. Your bedroom  ..... very clean.
6. Their bags  ..... at the lobby.
7. My two brothers  ..... in Bangkok.
8. Her sister  ..... a singer.

อ่ะ 8 ข้อขำๆ ลองทำดูนะน้องยุ้ย~ ^^



ติดตาม "คุณขอมา (Requested Topic)" ได้ที่ 

คุณขอมา (Requested Topic) : Verb to be


คุณขอมา (Requested Topic) : ในที่สุด หลังไมค์ที่รอคอยก็มาถึง ~ ^^

คุณขอมาวันนี้เป็นของน้องยุ้ย ถามเรื่อง Verb to be แล้วก็Verbตัวอื่นๆ วันนี้พี่เอาVerb to be ก่อนก็แล้วกันนะ

ก่อนอื่น ลองอ่านคำอธิบายของอาจารย์ท่านนี้ดูนะ ...

Verb  to  be ( is ,  am ,  are)

Verb  to  be  มีหลักการใช้  ดังนี้

1.      ถ้าเป็นกริยาสำคัญในประโยค  มีความหมายว่า  เป็น  อยู่  คือ

2.      ใช้วางข้างหน้า กลุ่มคำ   adjective  ( คำคุณศัพท์ )

3.      ใช้เป็นกริยาช่วยในโครงสร้างของประโยค Continuous ( ประโยคที่มี กริยา -ing )

4.      ใช้เป็นกริยาช่วยในโครงสร้างของประโยค Passive  Voice ( ประโยคที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ )

หลักการใช้กับประธานในประโยค

1.  ถ้าประธานที่เป็นเอกพจน์บุรุษที่  3  ซึ่งได้แก่  He  She  It  หรือ ชื่อคนคนเดียว สัตว์ตัวเดียว  และสิ่งของอันเดียวที่ถูกกล่าวถึง  Verb  to  be  ที่ใช้  คือ  is   เช่น

*He  is  a  teacher.   *Sam  is  a  singer
*She  is  in  the  room.   *My  father   is  sleeping.
*It  is  a  dog.   *The  pencil  is  on  the  table

2.   ถ้าประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่  1  (  ผู้พูดคนเดียว ) ซึ่งได้แก่  I  Verb  to  be ที่ใช้  คือ  am

*I  am  a  student.    *  I  am  under  the  table.

3.  ประธานเป็นพหูพจน์ทุกบุรุษ  ซึ่งได้แก่  We  You  They   หรือ ชื่อคนหลาย สัตว์หลายตัว และสิ่งของหลายอันที่ถูกกล่าวถึง  Verb  to  be  ที่ใช้  คือ  are  เช่น

*We  are  nurses.   *My  father  and  I  are  in  the  room.
*They  are  policemen.   *Suda and  her  friends  are  under  the  tree.
*You  are  very  good.  *The  players  are  in  the  playground.

Credit : ภาษาอังกฤษน่ารู้กับครูประนอม

อาจารย์ท่านนี้เขียนอธิบายไว้ได้ค่อนข้างน่าสนใจแล้วก็เข้าใจง่ายด้วย หลักการณ์ง่ายๆที่พี่อยากจะบอกน้องยุ้ยก็คือ ต้องจำให้ขึ้นใจเรื่องที่ว่า

เห็น I ต้องใส่ am
เห็น He/She/It ต้องใส่ is
เห็น You/We/They ต้องใส่ are

ถ้าแม่นพวกนี้แล้ว เวลาประธานของประโยคถูกเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่ I/You/We/They/He/She/It เราจะไม่งงเลย เพราะถ้ารู้ว่า I/You/We/They/He/She/It จะต้องตามมาด้วยคำกริยาอะไร น้องจะตอบได้ทันที ~

เอาเป็นว่าลองตอบคำถามข้างล่างนี้ดูนะ เช็คความเข้าใจ ถ้าถูกหมดแสดงว่าเราเข้าใจ ถ้าไม่ถูกหมด พี่จะอธิบายแบบละเอียดยิบเอาให้น้องจำไม่ลืมเลย แต่ขอวัดระดับน้องก่อนนะ

1. It ..... cold today.
2. I ..... at home now.
3.They ..... Korean.
4. My name ..... Ann.
5. We ..... from Thailand.
6. She .....an English Teacher.
7. Steve ..... 25 years old.
8. My teacher ..... very kind.
9.  ..... you a doctor?
10. He  ..... my best friend.

น้องยุ้ยจะตอบพี่ตรงนี้เลยก็ได้ หรือว่าจะส่งข้อความเข้าหลังไมค์ก็ได้นะแล้วแต่สะดวก ลองทำดูนะน้อง~ ^^



ติดตาม "คุณขอมา (Requested Topic)" ได้ที่