Sunday, November 16, 2014

คุณขอมา (Requested Topic) : What time is it?

***This post was since January 9, 2012 on the page "แม่ชมกรให้สอนภาษา" on Facebook.

คุณขอมา (Requested Topic) : เป็นรีเควสที่มาจากน้องหมาป่า ถามมาว่า อ่านเวลาเป็นภาษาอังกฤษยังไง มันงงๆ น่ารักมากน้องหมาป่า ถามมาแบบนี้พี่ชอบตอบ น้องๆคนไหนที่กะลังงงกับเรื่องเวลาเป็นภาษาอังกฤษ มาที่โพสนี้ได้เลย~

ถ้ามีคนมาถามเราว่า "What time is it?" วิธีตอบที่ง่ายที่สุด(เน้นว่าง่ายที่สุด) คือให้ตอบเป็นตัวเลขที่เห็นจากนาฬิกาตัวเอง ณ ตอนนั้น เช่นเวลา 10.15 (10โมงเช้ากับอีก15นาที คนไทยตอบสั้นๆว่า 10โมง15ด้วยเหอะ) ให้ตอบเป็น "It's 10.15." อ่านได้ว่า It's ten fifteen. วิธีการตอบแบบนี้ง่ายที่สุดแล้ว ถามมาอีกว่า อ่าวแล้วมันกลางคืนหรือกลางวันหล่ะเนี่ย!? ตอบแบบง่ายๆคือตอนที่ถามอ่ะ มันตอนกลางวันหรือตอนกลางคืนหล่ะ!? ถ้าตอนกลางวัน งั้นก้อ10โมงเช้า ถ้าตอนกลางคืน ก้อ4ทุ่ม เป็นอันรู้กัน

ส่วนการอ่านเวลาแบบยากๆ(ในแบบของคนที่งงเรื่องการอ่านเวลาอยู่แล้วนะ) จะแบ่งได้หลายแบบ คือแบบ "am/pm (12 hour clock)" กับแบบ "24 hour Clock" ดังต่อไปนี้ :

แบบam/pm(12 hour clock) นี่ก่อนอื่นบอกก่อนว่า ...
AM = ante meridiem คือเวลาหลังเที่ยงคืนถึงเที่ยงวัน
PM = post meridiem คือเวลาหลังเที่ยงวันถึงเที่ยงคืน

วิธี"เขียน"ของเค้าคือจะเติมไม่amก้อpmตามหลังเวลาเสมอ เช่น 01.00am คือ "ตีหนึ่ง" ภาษาไทย แต่เวลา"อ่าน"เป็นภาษาอังกฤษอ่าน "one o'clock in the morning" แต่ 01.00pm คือ "บ่ายโมง" ภาษาไทย แต่เวลาอ่านเป็นภาษาอังกฤษอ่าน "one o'clock in the afternoon"

06.00am = หกโมงเช้า(ไทย) , six o'clock in the morning (ภาษาอังกฤษ)
06.00pm = หกโมงเย็น(ไทย) , six o'clock in the evening (ภาษาอังกฤษ)

***สังเกตุได้ว่าเวลาอ่านจะต้องมีคำว่า ...in the morning, ...in the afternoon, ...in the evening, ...at night ตามหลังมากำกับด้วยตลอดเวลาเพื่อที่จะบอกว่ามันเช้าสายบ่ายเย็นกลางคืนนั่นเอง

แบบ"24 hour clock" จะสังเกตุได้ว่าตัวเลขบอกเวลาจะเริ่มจาก 00.00-23.59 (เที่ยงคืนไปยันห้าทุ่มห้าสิบเก้านาที) ตัวเลขทั้ง 24 ตัวจะบอกเวลาได้เองว่าตอนนั้นเช้าสายเที่ยงบ่ายเย็นดึกเป็นต้น เวลาที่ใช้เป็นทางการส่วนใหญ่จะใช้แบบ 24hour clock นี่แหละ ไม่ต้องเติมam/pmให้ยุ่งยาก โดยเมื่อนาฬิกาถึงเที่ยงวันแล้วจะเดินต่อไปที่เลข1ซึ่งก้อคือบ่ายโมง ถ้าเขียนแบบ "24 hour clock" จะเป็น 13.00 เขียนเลขเรียงต่อไปเรื่อยๆจนไปถึง5ทุ่มไทย นั่นก้อคือ 23.00

09.00 คือ เก้าโมงเช้า
13.00 คือ บ่ายโมง(ไทย)
16.00 คือ สี่โมงเย็น
20.00 คือ สองทุ่ม

มาถึงเรื่องที่น้องหมาป่าสงสัย คิดว่าไม่ใช่เรื่องที่พูดมาทั้งหมดนี้หรอก แต่เป็นเรื่องการอ่านเวลาที่มีคำว่า to,past, a quarter past, a quarter to, half to, half past อะไรพวกนี้มากกว่า พี่เดาถูกมั๊ยน้อง!?

ตามนี้นะน้องหมาป่า ก่อนอื่นเลยมาทำความเข้าใจกับ to,past, a quarter past, a quarter to, half to, half past กันก่อนนะ เอากันแบบไทยๆเลยนะ

to แปลว่า "อีก...จะ..."
past แปลว่า "ผ่าน/เลย...มาแล้ว..."

***a quarter นี่แปลได้อย่างเดียวว่า 15นาที (เฉพาะเรื่องของเวลานะ)
a quarter past แปลว่า "ผ่าน...มาแล้ว15นาที"
a quarter to แปลว่า "อีก15นาทีจะ..."

***half นี่แปลได้อย่างเดียวว่าครึ่ง หรือ30นาที

half to แปลว่า "อีกครึ่งชั่วโมงจะ..." หรือ "อีก30นาทีจะ..."
half past แปลว่า "ผ่าน/เลย...มาแล้วครึ่งชั่วโมง" หรือ "ผ่าน/เลย...มาแล้ว30นาที"

เมื่ิอเอาเข้าตัวอย่างแล้วจะออกมาแบบนี้ ...

A : What time is it?
B : It's 09.50.
***It's nine fifty. เวลา9โมง50นาที
***It's 10 minutes to 10. อีก10นาทีจะ10โมง

A : What time is it?
B : It's 09.15.
***It's nine fifteen เวลา9โมง15นาที
***It's a quarter past nine. ผ่าน/เลย9โมงมาแล้ว15นาที

A : What time is it?
B : It's 09.45.
***It's nine forty-five. เวลา9โมง45นาที
***It's a quarter to ten. อีก15นาทีจะ10โมง

A : What time is it?
B : It's 10.15.
***It's ten fifteen. เวลา10โมง15นาที
***It's a quarter past ten. ผ่าน/เลย10โมงมาแล้ว15นาที

A : What time is it?
B : It's 11.30
***It's half past eleven. เวลา11โมงครึ่ง
***It's thirty minutes to twelve. อีกครึ่งชั่วโมงเที่ยง

พอจะเข้าใจยังน้องหมาป่า? พี่จะตอบดักไว้ก่อนเผื่อมีคนถามว่าแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเมื่อไหร่ใช้ to เมื่อไหร่ใช้ past!? ตามหลักแล้ว ถ้าเวลามันเลยโมงมาไม่ถึง 30 นาทีก้อให้ใช้ past แล้วถ้ามันเลยโมงมามากกกว่า 30 นาทีแล้วให้ใช้ to แต่ถ้าเอากันจริงๆ จะพูดยังไงก้อพูดกันไปเถอะ เพราะจุดประสงค์คือการบอกเวลา แต่วิธีอ่านที่ง่ายที่สุดคือการอ่านตัวเลขออกไปเลยคับพี่น้องคับ~

น้องหมาป่าคิดว่าเข้าใจรึยัง ถ้าเข้าใจแล้วต้องทำไง รู้ใช่มั๊ย ฮ่าๆๆๆ แต่งมา พี่รออ่านอยู่~ ^^

ติดตาม "คุณขอมา (Requested Topic)" ได้ที่ 
>>> รวมทุกโพสต์ของ "คุณขอมา (Requested Topic)" <<<


Wednesday, November 12, 2014

แนะแนวข้ามทวีป : What's next?

แนะแนวข้ามทวีป : What's next?

แนะแนวข้ามทวีปตอนนี้น่าจะเหมาะกับน้องๆม.6 ที่กำลังจะจบการศึกษาในปีหน้านี้ รวมไปถึงน้องๆม.4 ม.5 ที่เริ่มวางแผนอนาคตกันบ้างแล้ว หรือใครกำลังจะจบปริญญาตรีเร็วๆนี้ก็ได้เหมือนกัน เพราะ "What's next?" ในที่นี้คือ จบแล้วไปทำอะไรต่อนั่นเอง ~

พูดแล้วก็พูดอีกว่าน้องๆที่เกิดมาในยุคนี้โชคดีมากๆ ในเรื่องของการที่โลกย่อขนาดลงมาเล็กนิดเดียวเพราะความเจริญก้าวหน้าของไอทีนี่แหละ ทำให้การสื่อสารไร้ขีดจำกัด การศึกษาก็ไร้ขีดจำกัดไปด้วย พูดถึงเรื่องของการศึกษานี่ สมัยก่อนเท่าที่จำได้ มีแต่โครงการแลกเปลี่ยน AFS ให้น้องๆม.4 ม.5ได้ไปใช้เวลา1ปีเต็มที่ต่างประเทศ ไปดูไปเรียนรู้วัฒนธรรมต่างชาติ ประสบการณ์ล้วนๆ

พี่เลยอยากจะบอกน้องๆ เริ่มตั้งแต่ม.4 ม.5 ก่อนว่าให้ลองสมัครทุนแลกเปลี่ยนทั้งหลายแหล่ สมัยนี้ไม่น่าจะมีแค่ AFS อย่างเดียวแล้ว ใครที่เริ่มรู้ตัวเองว่า ชอบชีวิตแบบลุยๆ ไม่กลัวการออกไปสำรวจโลกกว้าง อยากไปเห็นด้วยตาตัวเอง พี่แนะนำให้สมัครทุนซะ เพราะถ้าน้องเกิดได้ไปขึ้นมา มันจะเป็นประสบการณ์ชีวิตแบบหาที่ไหนไม่ได้เลยนะ น้องยังไม่ต้องคิด ว่า โอยยยพี่ คนสมัครเยอะแยะ หนูไม่ได้หรอกค่ะพี่ น้องอาจจะลืมไปอย่างหนึ่งว่า สมัครไป ถือว่ามีสิทธิ์ได้ จะกี่เปอเซนต์ได้ก็ถือว่ามีสิทธิ์ได้ แต่ถ้าไม่สมัครเลย โอกาสเป็นศูนย์นะ จบข่าว หลักการนี้ ขอใช้เฉพาะเรื่องสมัครทุนนะ อย่าได้เอาไปรวมกับเรื่องซื้อลอตเตอรี่ ซื้อหวย แบบมาดักคอพี่ว่า อ่าวพี่ ไม่ซื้อลอตเตอรี่ โอกาสถูกก็เป็นศูนย์เหมือนกันนา เออนะ ย้อนเร๊อะ!? -_-

น้องๆม.6 ตัวเลือกอาจจะไม่เยอะมาก เพราะยังไงซะก็ต้องเข้ามหาวิทยาลัยก่อน แต่สมัยนี้ก็มีทุนเรียนปริญญาตรีเหมือนกัน พี่เห็นผ่านตาเยอะมากกกก เห็นจนแบบว่า อิจฉาเด็กๆสมัยนี้มาก ตัวเลือกเยอะจัด แต่เดี๋ยวนะ น้องๆอย่าเพิ่งเข้าใจพี่ผิด คิดว่าพี่เป็นเด็กเรียน มาเขียนอะไรเรื่องทุนๆนี่ ไม่มีทาง ฮาาาาา ยังรักเล่นแต่เรียนจนจบเหมือนเดิม ตอนเรียนม.ปลาย พี่ไม่ได้มานั่งคิดไรแบบนี้หรอก เล่นไปวันๆขำๆ แต่เมื่อผ่านมาจนถึงตรงนี้แล้วรู้เลยว่า ถ้าย้อนเวลาได้ การตั้งใจเรียนนี่มันน่าจะสนุกไปอีกแบบนะ ถึงพี่เป็นแอร์ ได้ท่องโลกเองด้วยเนื้องาน แต่ประสบการณ์นักเรียนทุนแลกเปลี่ยนนี่ได้หลายมุมกว่าเป็นแอร์เยอะ อย่างน้อยๆน้องอาจจะค้นพบสิ่งที่ตัวเองอยากเป็นอยากทำตอนที่อยู่ใน process ของการเติบโตด้วยการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนนี่แหละ ใครจะไปรู้

ส่วนใครที่กำลังจะจบมหาวิทยาลัย แล้วยังไม่รู้จะทำอะไรต่อ ลองสมัครทุนเรียนต่อได้นี่ มีเป็นแบบ Internship ด้วย คือเป็นทุนแบบไปทำงานด้วยเรียนไปด้วย หรือแบบไปทำงานตามสายงานที่เรียนมาอย่างเดียว สมัยพี่อยู่มหาลัย เปิดร้านขายกาแฟขำๆหน้าบ้าน ในพระราชวังสนามจันทร์ ตรงข้ามคอรท์แบตคอรท์เทนนิส มีฝรั่งมาวิ่งๆ วิ่งไปวิ่งมา มาเป็นเพื่อนกันได้ไงไม่รู้ เพื่อนคนนี้เป็นคนอเมริกัน เพิ่งจบมหาวิทยาลัยหมาดๆ สมัครทุนแบบ Internship มา คือมาเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยอะไรซักอย่างตรงแยกพระประโทน ตรงข้ามวิทยาลัยเทคนิค นครปฐม เข้าไปทางนั้นแหละ นึกชื่อไม่ออกซะแล้!? เพื่อนมาอยู่1ปีเต็มๆ รักเมืองไทยมาก พี่เพิ่งได้เจอเพื่อนคนนี้อีกครั้งเมื่อต้นปีที่แล้ว เค้ากลับมาเมืองไทยอีกครั้ง พาแฟนมาด้วย แฟนเป็นนักกฎหมาย สมกับเป็นอเมริกันฝั่งวอชิงตันดีซี ดูดีมีความคิดสุดๆ ตอนนี้ทั้งสองคนแต่งงานกันแล้ว  เพื่อนฝรั่งคนอื่นๆที่รู้จักพร้อมๆกันก็ไปเดินตามสายที่ตัวเองถนัดกันหมด แต่มีหลายคนมากๆที่มาเจอสิ่งที่ตัวเองอยากเป็นอยากทำตอนมาแลกเปลี่ยนอยู่เมืองไทยนี่แหละ

แล้วจะไปรู้เรื่องทุนแลกเปลี่ยนนี่จากไหนได้บ้าง? นอกจากป้ายประกาศทุนแลกเปลี่ยนที่มักจะเห็นกันตามโรงเรียนกับมหาลัยแล้ว พี่มีเพจมานำเสนอหล่ะ

"Scholarship.in.th ทุนเรียนต่อต่างประเทศ" เป็นเพจในเฟซบุคนี่แหละ ไปกดไลค์กันได้ แล้วก็ตามข่าวเรื่องทุน
จากทางเพจนี้เอา ขอบอกว่า เยอะมากกกก มีมาทุกวันทุกประเทศทั่วโลก นับถือคนทำมาก ไปหามาจากไหน สุดยอด
ไม่ได้นำเสนอเรื่องทุนอย่างเดียวด้วยนะ บางทีเค้าก็มีเกร็ดเล็กๆน้อยๆมานำเสนอเหมือนกัน ลองไปติดตามกันดู

Scholarship.in.th ทุนเรียนต่อต่างประเทศ 
Link : https://www.facebook.com/scholarshipthai

แนะแนวข้ามทวีปตอนนี้ มาฝากเรื่องทุนแลกเปลี่ยนนี้โดยเฉพาะ เอามาเป็นทางเลือกให้น้องๆลองคิดกันดูเน้อ
หวังว่าคงจะมีซักคนสองคนที่คิดจะลองเปลี่ยนชีวิตตัวเองดูกับการสมัครทุนพวกนี้ ขอให้โชคดีนะทุกคน ~  ^_^  

Tuesday, October 21, 2014

แนะแนวข้ามทวีป : Better Planet VS. Better Kids

แนะแนวข้ามทวีป : Better Planet or Better Kids

เวลาทำไฟลท์ข้ามคืนกลับมาเช้าๆนี่ สมองตื่นตัว ตาค้าง อย่านอนมันเลย มาป่วน เอ้ย มาปั่นงานดีดีๆที่ "ดูเหมือน" จะไร้สาระกันดีกว่า จริงๆบทความตอนนี้ เอาไปอยู่ในคอลั่มคำคมวันละนิดจิตแจ่มใส (A Quote A Day) ก็ได้นะ แต่บังเอิญว่ามันโยงมาพูดถึงน้องๆวัยสะรุ่นอนาคตของชาติไทยได้มากกว่าเยอะ พี่ลิงเลยขอจัด!!!~

กับหัวข้อแนะแนวข้ามทวีปวันนี้ เป็นโต้วาทีย่อมๆ "Better Planet or Better Kids" แปลได้ง่ายๆว่า "โลกที่ดีกว่า หรือ เด็กที่ดีกว่า" นั่นเองงงง แรงจูงใจในการเขียนมาจากรูปภาพของคำคมที่เห็นอยู่ข้างล่างนี่แหละ เค้าบอกว่า "We talk so much about leaving a better planet to our kids, that we forget about leaving better kids to this planet." พี่เชื่อว่าน้องๆแปลกันเองได้แน่นอน ชิมิ!? ว่า "เราชอบพูดกันอยู่ตลอดเวลาเรื่องการอนุรักษ์โลกเอาไว้เพื่อเด็กๆในอนาคต เลยลืมที่จะนึกถึงว่าควรจะสร้างเด็กดีๆเอาไว้เพื่อโลกนี้บ้าง"

แนะแนวข้ามทวีปตอนที่แล้ว พี่พูดถึงเรื่องหลักๆคือเรียนให้จบ และการคบเพื่อนให้ดี น้องๆม.6ที่กำลังจะจบต้นปีหน้านี้ ไม่รู้มีกี่คน รู้แต่มีแน่ๆคนนึงที่จะต้องมีความสนใจเรื่องการอนุรักษ์ทั้งหลายแหล่ ทั้งอนุรักษ์สัตว์ป่า ต้นไม้ ลำธาร ติสต์มากน้อง พวกรักธรรมชาติ เรียนจบไป ไปอยู่พวกเดียวกับกลุ่ม Green Peace, UN,  NGO*ที่น่ายกย่องทั้งหลาย คนพวกนี้จะทำหน้าที่ขับเคลื่อนโลกใบนี้ให้เดินไปตามธรรมชาติของโลกที่ควรจะเป็น ประสานความร้าวฉานของตัวธรรมชาติไปจนถึงตัวมนุษย์ รวมถึงน้องๆบางคนที่เรียนไปเรียนมาแล้วหลงใหลในการเป็นอาจารย์ รักการสอน สุดท้ายไปเรียนต่อด้านการเป็นอาจารย์ เพื่อกลับมาสอนเด็กรุ่นหลัง ปิดทองหลังพระของแท้ ใครที่คิดจะเป็นครูเป็นอาจารย์ในอนาคต พี่ขอให้ชีวิตเจริญรุ่งเรืองตลอดลมหายใจของน้องเลย สาธุ แต่ขอย้ำว่า อาชีพทุกอาชีพ ไม่เว้นแม่แต่แม่บ้านดูแลลูกดูแลสามีก็มีบทบาทช่วย Better Planet กับ Better Kids อย่างแรง

ออกแนวไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกันรึเปล่าเนี่ย!? จะอนุรักษ์โลกดี หรือว่า สร้างเด็กดีๆทิ้งไว้ให้โลกดี ให้พี่เลือกให้พี่คิด พี่ขอเลือก "Better Kids" เพราะถ้าเด็กไม่ได้เติบโตมาด้วยความใฝ่ดี คิดดี ทำดี ไอ้เรื่องที่จะมาคิดว่าจะอนุรักษ์โลกนี่มันจะมาจากไหน!? ถ้าตอนเด็กๆ ประถม มัธยม น้องๆไม่ได้ถูกสอนมาให้รักที่จะเป็นคนดี คิดดี ทำดี พี่ก็ชักไม่แน่ใจว่าโลกยุคปี 2025 มันจะออกมาแนวไหน!? นี่แค่ประเทศไทยนะ ยังไม่รวมถึงเพื่อนร่วมโลกอีกหลายร้อยประเทศ ต้องขอบอกว่าชีวิตช่วงวัยมัธยมนี่แหละ เป็นช่วงฟักตัวของทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของน้องๆในอนาคนอันใกล้ ใครที่คิดว่าไม่เกี่ยว รอไปอีก 15-20 ปีข้างหน้า ให้กลับมาคิดใหม่ดีๆ ว่าชีวิตที่ได้มาอยู่ทุกวันนี้เริ่มมาจากตรงไหน

ฺBetter Kids ของพี่ในที่นี้ คือ เด็กไทยที่เป็นไทยแท้ๆ ไทยแท้ๆไม่ได้หมายความว่าไทย-จีนไม่ได้ ครึ่งไทยไม่ได้ แต่ไทยแท้ที่ใจ แท้ที่ความเป็นคนไทยแบบคนไทยจริงๆ ให้พี่เขียนอีกกี่ทีพี่ก็จะพูดแบบเดิม "คนไทยมีดี แต่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีดี" ไอ้เอกลักษณ์ความเป็นไทยนี่แหละคือข้อดี ชาติไหนที่ว่าดี อย่างเกาหลีสุดใจขาดดิ้นที่พี่รักนักรักหนา ก็สู้ความเป็นคนไทยไม่ได้หรอก แล้วพี่ก็สนใจแค่ดนตรีของเค้าอย่างเดียวนั่นแหละ น้องเรียนให้จบ แล้วถ้ามีโอกาสได้ไปเรียนต่อเมืองนอก สอบชิงทุน จะไปอยู่ประเทศไหนก็แล้วแต่ แล้วน้องจะเข้าใจว่าพี่หมายความว่าอย่างไร

ใครอ่านแล้วจำได้แม่นๆตอนที่แล้ว พี่พูดถึงว่าสมัยน้องๆตอนนี้ ยังยกมือไหว้ผู้ใหญ่ เดินก้มตัวเมื่อเดินผ่านผู้ใหญ่กันอยู่รึเปล่า ก็เพราะในอนาคต หากน้องเรียนจบ มีโอกาสได้มาทำงานนอกประเทศ น้องจะได้เจออะไรที่ไม่เคยเจอมาก่อน แต่...อะไรก็ไม่แปลกเท่าเจอคนไทยด้วยกันเอง เชื่อมั๊ย!?

อะไร ยังไง!? พี่ขอยกตัวอย่างเรื่อง "การไหว้" พี่นี่นะ ชอบไหว้คนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าเรา ไหว้เพราะเคารพ ไหว้เพราะนับถือ ไหว้เพราะพี่เป็นคนไทย พี่ไม่ใช่พม่าเผาเมือง พี่เติบโตมากับปู่กับย่า เพราะฉะนั้น การเคารพผู้หลักผู้ใหญ่เป็นเรื่องที่ควรกระทำ เมื่อนานมาแล้ว เคยมีลูกเรือคนไทยนี่แหละ อายุน้อยกว่าพี่6-8ปี ไม่เรียกพี่ว่า พี่ เรียกชื่อเฉยๆ หนักๆเข้าถึงขั้นเรียก E นำหน้าชื่อพี่ อืมมม ขอบใจ สรุปคืออยากอายุเท่ากัน!? หนักเข้าไปอีก เมื่อการบินไทยได้ไปพักโรงแรมเดียวกับสายการบินพี่ที่ลอนดอนอยู่พักนึง พี่ยกมือไหว้พี่ๆแอร์การบินไทยนะถ้าเค้ารู้เค้าเห็นว่าพี่เป็นคนไทย แอร์การบินไทยนี่ผู้ใหญ่เยอะนะ เราเป็นเด็ก ยกมือไหว้พี่เค้า จะรู้จักไม่รู้จัก มันผิดตรงไหน!? พี่เคยได้ยินเพื่อนลูกเรือคนไทยพูดถึงประเด็นเรื่องไหว้ไม่ไหว้ ทำไมต้องไหว้!? อ่าววววว ใครยกมือไหว้นี่รู้เลยว่าถูกเลี้ยงมาแบบไหน ใครไม่ยกมือไหว้ ไม่เรียกพี่ แต่เรียกคำอื่นที่เทียบเท่าได้ว่าพี่ อย่างคำว่า เจ๊ แบบนี้ถือว่าเค้าก็เคารพอยู่ในระดับนึง ใครยกมือไหว้แบบขอไปที อะไรแบบนี้ ดูรู้หมด เคยได้ยินเพื่อนๆลูกเรือคุยกันถึงการพูดการจาของลูกเรือไทยสายการบินพี่บางคนกับแอร์การบินไทยที่ลอนดอนแล้วลมจะจับ พี่ขอไม่เล่ารายละเอียด เพราะอาจะกระทบถึงใครหลายๆคนในที่นี้ แต่พี่มั่นใจว่าแอร์ไทยที่นี่"ส่วนใหญ่"เป็นคนมีจิตใจดี โอบอ้อมอารี รักและเคารพผู้ใหญ่ คำถามคือ ถ้าน้องๆแอร์ไทยรอยด่างพวกนั้นมีความเป็น "better kid" ตั้งแต่ยังเด็ก โตมา จะเป็นแบบนี้มั๊ย!?


Better Kid คือการซึมซับเอาสิ่งดีๆจากผู้ใหญ่ หรือจากคนรอบข้างที่เราได้ประสบพบเจอ เพื่อที่เราโตขึ้น จะได้เป็นตัวขับเคลื่อนโลกต่อไป ง่ายๆแค่นั้นแหละน้อง ถามว่าทำไมพี่ต้องเน้นเยอะมากเรื่องพวกนี้ เพราะว่ามันเป็นรากเหง้าของเรา มันเป็นพื้นฐานง่ายๆแบบ common sense* เราเป็นคนไทย ถ้าเราไม่รักษาขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีอะไรนี่เอาไว้ แล้วจะให้ต่างชาติมาสืบสานต่อแทนว่างั้น!? ใครมีญาติเป็นแอร์เบสอยู่ต่างชาติ พี่ท้าให้ไปถามว่า คนต่างชาติพูดถึงคนไทยไว้ว่าอย่างไรในสายตาพวกเค้า 100ทั้ง1,000,000 เค้าชื่นชม เค้าทึ่ง ถึงความเป็นคนไทยๆนี่แหละ น้องเอ้ย ในชีวิตน้องจะไม่มั่นใจเรื่องอะไรก็ตาม แต่น้องต้องมั่นใจความเป็นคนไทยของน้องนะ ภาษาอังกฤษ ไม่เก่ง ไม่ชัด ไม่คล่อง แต่ขอโทษนะค๊ะ เพราะประเทศไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใครค่ะ จบนะ ~

แล้วถ้าไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่ให้น้องได้เรียนรู้ ได้ไว้เคารพนับถือ ได้ไว้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร น้องจะใช้ชีวิตยังไง โอเค เดินเองได้ ลองมันทุกอย่างเองได้ แต่อย่าลืมว่าทุกอย่างในโลกใบนี้มีคนทำเอาไว้แล้วทั้งนั้นไม่ว่าเรื่องอะไร แล้วน้องจะไปทำซ้ำทำไม!? เรียนรู้จากผู้ใหญ่ง่ายกว่ามั๊ย!? ประสบการณ์สะเทือนใจครั้งล่าสุดของพี่ว่าด้วยเรื่องการเรียนรู้วงเวียนชีวิตมนุษย์ ฟังดูมันง่ายๆพื้นๆไม่มีอะไร แต่ถ้าใครรู้สึกได้ จะรู้ว่าพี่หมายถึงอะไร ขากลับจากพักร้อนครั้งล่าสุดที่เมืองไทย อาของพี่บังเอิญขึ้นไฟลท์มาบาห์เรนไฟลท์เดียวกับพี่พอดีเลย อาของพี่คนนี้ เป็นอาแท้ๆที่เป็นน้องชายคนเล็กของพ่อพี่เอง จำได้ว่าตอนเด็กๆอาชอบแกล้งมาก อาเป็นคนขี้เล่น อารมณ์ดีสนุกสนาน ชอบจับพี่โยนขึ้นไปบนฟ้า ดูน่าสนุกสำหรับผู้ใหญ่ แต่สำหรับลิงตอนยังเด็กอย่างพี่ มันน่าสยองขวัญมาก มาวันนี้ อามีอายุแล้ว ถึงแม้จะยังดูแข็งแรงยังเฟี้ยวอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่ ณ วินาทีนึงบนเครื่องบินที่นั่งข้างๆกัน มืออาที่เอื้อมมือไปจับช้อนพลาสติกกินข้าว มืออาสั่น มันเป็นแค่แว่บๆที่เห็น แต่มันทำให้พี่ต้องสังเกตุอามากขึ้น แล้วก็ต้องใจหายว่าถึงแม้อาจะยังเหมือนเดิม แต่ร่างกายและเรี้ยวแรงอาไม่เหมือนเดิม มันทำให้พี่เศร้า แล้วก็ทำให้พี่คิดได้ในเวลาเดียวกัน ว่า เราทำอะไรตอบแทนผู้หลักผู้ใหญ่ได้บ้าง ในที่นี้ไม่ต้องถึงขนาดต้องเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน แต่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เข้ามาสอน คอยตักเตือน ให้คำแนะนำทุกอย่าง สำหรับน้องๆตอนนี้น่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย  ขอให้น้องๆเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ในทุกช่วงชีวิตของน้องๆให้ดี ผู้หลักผู้ใหญ่ทุกท่านเป็นหลักให้น้องๆ ณ ตอนนี้ แต่ ณ วันนึง ตัวน้องเองจะกลายเป็นหลักให้ท่านเหล่านี้นะ

ที่ต้องเน้นนักเน้นหนาเรื่องความเป็นคนไทย เพราะอะไร รูปเจ้าเด็กข้างล่างนี่ น่าเบิรด์กระโหลกมั๊ย ฟันธงเลยว่าเด็กไทยเป็นแบบนี้แค่10% แต่เด็กชาติอื่น ขอเน้นว่าเป็นเด็กชาติแขกอาหรับ เป็นแบบนี้ 90% พ่อแม่คนไทย เน้นว่าส่วนมาก เลี้ยงลูกเป็น พี่เชื่อว่า "เลี้ยงลูกเป็น" เด็กแขกที่นี่ กินชากาแฟตั้งแต่อายุ2ขวบ ย้ำว่า2ขวบ เที่ยงคืนตี1 มาเดินเล่นที่สวนสาธารณะกับพ่อแม่ อะไรไม่ได้ดั่งใจจะแหกปากกันข้ามทวีปเลยทีเดียว เห็นแล้วก็นะ หันหน้าขึ้นฟ้า ยกมือขึ้นพนม แล้วพูดว่า "ขอบคุณสวรรค์ที่พาอิชั้นให้มาเกิดเป็นคนไทย"

ในรูปยังบอกอีกว่า "Educate your children. Say No to them every once in a while*." คือ ให้สั่งสอนลูกตัวเองเสียบ้าง โดยการไม่ตามใจเค้าไปเสียทุกครั้ง หน้าเจ้าเด็กนี่ มันหน้าเด็กแขกเวลาถูกขัดใจชัดๆ แล้วพ่อแม่แขกส่วนใหญ่ไม่ทำอะไร ปล่อยร้องไปลั่นเมืองลั่นเครื่อง ไม่ก็ยอมทุกอย่างจนเด็กจะกลายเป็นหัวหน้าแกงค์มาเฟียประจำบ้านไปและ พ่อแม่คนไทย ถ้าไม่ตี ดุสั่งสอน ก็ต้องมีวิธีปราบได้แน่นอน

แต่ถึงยังไง ทั้ง better kid กับ better planet ต้องทำควบคู่กันไปอย่างแน่นอน เหมือนเป็นคลื่น ใหม่มาเก่าไป พี่ขอให้น้องๆที่จะเติบโตมาเป็น better kid สร้าง better planet ให้ตัวเองและคนรุ่นต่อๆไปได้มีสภาวะแวดล้อมและสังคมที่ดี อย่างน้อยขอให้เกิดในเมืองไทย ในสังคมที่น้องๆจะต้องไปอยู่เมื่อเรียนจบกันนะ!!! ^_^ อ่ะ วันนี้เรามาดราม่ากันแค่นี้ก่อนนะ รู้เลยเพื่อนบางคนอ่านมาถึงตอนนี้ต้องบ่นออกมาว่า "จบเหอะลิ๊งงง" ~



*NGO คือ Non-Governmental Organization เป็นองค์กรที่ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลหรือเอกชนใดๆ คือเป็นองค์กรที่ทำเพื่อสังคมส่วนรวมซะมากกว่า

*Common sense คือ สามัญสำนึก อย่างเช่น พี่น้องชวนกันไปขับรถเล่นกินลม ขับไปกินขนมไป กินขนมเสร็จ น้องถามพี่ว่า พี่ๆโยนซองขนมทิ้งลงบนถนนได้มั๊ย พี่มองหน้าน้องแล้วพูดว่า "Use your common sense." ในที่นี้คือแปลได้ว่า ก็ลองคิดเอาเองสิว่ามันสมควรมั๊ย
Common sense แบบเพิ่มเติม http://dict.longdo.com/search/common%20sense

*once in a while คือ นานๆที ไม่ใช่นานๆถี่นะ ตัวอย่างเช่น เพื่อนถามว่านี่ยูไปเล่นฟิตเนสบ่อยมั๊ย How often do you go to the gym? ตอบว่า นานๆไปที ตอบแค่ "Once in a while" เลยก็ได้ หรือ "Not often at all, just once in while." ก็ได้เหมือนกัน แปลว่า ไม่บ่อยเลย นานๆไปที



Sunday, October 12, 2014

แนะแนวข้ามทวีป : High School Love On

แนะแนวข้ามทวีป : High School Love On

ระหว่างรอผู้หวังดีมาแนะนำหัวข้อในการเขียนคอลั่มแนะแนวข้ามทวีปแบบจ๊าบๆ จะหน้าไมค์หลังไมค์ก็เถอะ ขอพี่เริ่มมหากาพย์ลิงพูดไม่หยุดด้วยการย้อนเวลากลับไปสมัยพี่อยู่ม.ปลายก่อนก็แล้วกันนะ นับเป็นกี่ปีแล้วนี่ที่จบมา!? 20กว่าปีแล้วโอ้วโน -_-

ชีวิตม.ปลายของพวกพี่สมัยก่อนต่างจากของพวกน้องๆสมัยนี้แน่นอนล้านเปอเซนต์ สมัยนี้น้องๆมีทั้ง iPhone 6, iPad เลขอะไรแล้วหว่า!? สุดจะไฮเทค สมัยพวกพี่ต้องนี่เลย Pager รู้จักม๊ายยยยย!? เปล่า พี่ไม่ได้จะมาเขียน Pros and Cons* ของวัยรุ่นสมัยปี 2538 กับ 2557 หรอกน้อง มิบังอาจ ดูชื่อตอนก่อน "High School Love On" นี่ บ้านใครมีช่อง KBSWolrd จะร้องอ๋อ อิอิ ใครนั่งอยู่ในห้องเรียนวันนั้นที่พี่ไป ถ้าจำกันได้ก่อนพี่จะออกจากห้องเรียนไป พี่ทิ้งคำพูดไว้ว่าอะไร ระลึกชาติด่วน ~

ชีวิตสมัยม.ปลายของพี่ ต้องขอสารภาพว่า 80% เพลง+เพื่อน 20% เรียน ครบแล้ว100% ใครที่คิดว่า แนะแนวข้ามทวีปตอนนี้ "High School Love On" จะเป็นตอนรักๆฉบับสงครามนางฟ้าสมัยยังเด็ก ผิดและ!? ตั้งแต่เด็กยันโต พี่ก็ยังคง 80% นั้นอย่างเหนียวแน่นมาก น้องๆคนไหนเริ่มมีความรักปิ๊งๆฟรุ๊งฟริ๊งแล้วก็นะ พี่พูดได้คำเดียว "โชคดีนะน้อง" ~

High School Love On เป็นความรักของเพื่อน ความรักบริสุทธิ์แบบเพื่อนๆกัน จะผิดเพศไม่ผิดเพศแต่คือพวกเราเพื่อนกันรักกัน สมันนั้นไม่เหมือนสมัยนี้ตรงที่ทุกคนยังบริสุทธิ์อยู่!!! อ่ะน้องงงง กรุณาอย่าคิดไปไกลเดี๋ยวเพจพี่ติดเรท -_- บริสุทธิ์ในที่นี้คือจิตใจบริสุทธิ์ สังคมสิ่งแวดล้อมที่บริสุทธิ์ ไม่ค่อยมีสิ่งชักนำอะไรไปในทางเสียๆมากซะเท่าไหร่เหมือนสมัยนี้ วันๆมีแต่เรื่องมาโรงเรียน เรียนไม่เรียนเรื่องนึง(ฮาาาาา) แต่คือมาโรงเรียน เลิกเรียนแล้วไปไหน!? กลับบ้านเปลี่ยนชุดออกมาแว๊นสนามจันทร์ กินนมเย็นร้านตี๋หน้าองค์พระ โอยยยย สวรรค์ น้องๆวัยรุ่นยุคนี้ ทำอะไรกัน!? พี่หล่ะสงสัยมากกกกกก ~

น้องจะทำอะไรก็ทำไป แต่สิ่งที่น้องควรทำที่สุดคือ "เรียนให้จบ" เรียนยังไงก็ได้ ให้จบ เกรดอะไรก็ได้ ให้จบ อย่าได้คิดทิ้งการเรียน พี่เป็นหนึ่งในวัยรุ่นไทยหลายแสนคน(!?)ที่ไม่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไร รู้อย่างเดียว ชอบภาษาอังกฤษมาก อะไรก็ได้ขอให้เป็นภาษาอังกฤษ แล้วก็ชอบดนตรีมาก ติดเพื่อนมาก ส่วนคนที่รู้มาแต่เกิดเลยว่าโตขึ้นจะเป็นหมอ เป็นนักบิน ต่อเลยวิทย์-คณิตพวกนี้ พี่ขอนับถือจากใจจริง คนที่ไม่รู้อะไรเลย ขอให้เดินต่อไป เพราะน้องๆเชื่อมั๊ย ยังไงซะ วันนึง น้องต้องเป็นอย่างนึงนั่นแหละ หนึ่งในนั้น คือไม่พ้นเป็นแม่ของลูก เป็นหญิงโสดบ้างาน เป็นคนมุ่งมั่นเรียนจนถึงปริญญาเอก อะไรพวกนี้ มันจะขึ้นมาตามเวลาและโอกาสของแต่ละคน ข้อแม้มีอยู่ข้อเดียว "เรียนให้จบ" ~

พี่ไม่เก่งเลข มี trauma* (อ่านว่า ทรอม่า) มาจากสมัยเด็กๆ อาจารย์สอนเลขสมัยประถมไม่ค่อยมีความสุขกับชีวิตเท่าไหร่ ดุมาก เอะอะก็ตี ตะคอกเด็ก เรียนเลขแล้วไม่สนุกไม่มีความสุข จิตตก พี่เลยขยาดเลย ถึงขนาดยอมทิ้งความฝันว่าอยากเป็น Psychiatrist (นักจิตวิทยา) แค่เพราะว่าต้องเรียนเลขหลายวิชามาก แค่นั้นเอง ก็เพราะไม่เอาเลขเลยนี่แหละ เลยต้องมาลำบากอาจารย์เกรียงไกรสมัยนั้น เพราะพี่และเพื่อนๆอีกหลายคนอยู่ที่เลือกมาเรียนศิลป์ภาษาเพื่อหนีเลข เด็กห้อง 4/5 สมัยนั้นมีไม่ถึงครึ่งห้องที่เจิดจรัสด้านภาษาฝรั่งเศสและเอาจริงเอาจังที่จะเรียน แต่ไม่ได้หมายความว่าที่เหลือไม่เรียนนะ ทุกคนเรียน เพราะไม่มีใครรู้ว่าจริงๆแล้วตัวเองจะเป็นอะไร ไปทางไหน พี่ถึงเน้นน้องๆมาก ว่าให้เรียน เรียนไป เรียนยังไงก็ได้ "ให้จบ" ~

ตอนสอบพูดตัวต่อตัวกับอาจารย์เกรียงไกร จำไม่ได้แล้วว่า ตอนนั้นอยู่ชั้น 4/5, 5/5, หรือ 6/5 แต่พี่จำได้แม่นมากพอถึงตาพี่ เข้าไปที่ห้องพักครู อาจารย์เกรียงที่ดูจะมึนกับการสอบเพื่อนๆพี่ก่อนหน้านี้มาแล้วหลายคน เจอหน้าพี่ อาจารย์ไม่เริ่มการสอบพูด อาจารย์ถามคำเดียว "เธอมีอะไรในหัวเธอบ้าง ยัยศุลีมาศ" พี่ลิงคนซื่อ ตอบอย่างฉะฉาน "il fait beau" "Tres Bian" "Tres Mal" จบข่าว :D จำแม่น อาจารย์เกรียงคงไม่ไหวและ ไอเด็กพวกนี้ มันอะไรกัน เอาไป เกรด 0 เกือบยกห้อง ฮาาาาาาาาาา เป็นความทรงจำที่บริสุทธิ์มาก ณ สมัยนั้น วันที่พี่ไปเยี่ยมอาจารย์วันนั้น พี่ถึงถามอาจารย์เกรียงไปว่า น้องๆที่เลือกมาเรียนศิลป์ฝรั่งเศสนี่หนีเลขมาหรือมาเรียนภาษาฝรั่งเศสกันจริงๆ แต่ถึงน้องจะหนีมาหรือมาเรียนจริงๆ ประโยคเด็ดของพี่ในวันนี้คือ "เรียนอะไรยังไงก็ได้ ขอให้เรียนให้จบ" ~

อ่ะ มาเข้าเรื่องกัน!? ใช่ เข้าเรื่อง ที่พูดมาทั้งหมดนี่ แค่เกริ่นหน่ะน้องงงง อ่านไหวมั๊ยมหากาพย์ลิงพูดไม่หยุด!?

High School Love On เป็นเรื่องที่พี่อยากจะพูดถึงเรื่องเพื่อนๆที่น้องคบอยู่ จะชวนกันเรียน ชวนกันเล่นก็เถอะ คบกันดีๆ รักกันๆมั่นคง อย่าทำร้ายกัน เพื่อนๆพวกนี้อาจจะไม่อยู่กับน้องไปจนจบมหาวิทยาลัยไปจนถึงชีวิตช่วงทำงานและแต่งงานมีลูก จะมีอยู่แค่2-3คนหรือกลุ่มเล็กๆที่น้องๆ *keep in touch* กันเองหลังเรียนจบแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไป20กว่าปี น้องๆจะได้กลับมาเจอกันอีกแน่นอน เหมือนที่พี่ๆได้กลับมาเจอกันแล้วรวมตัวกันไปหาอาจารย์ ยังไงต้องมีเพื่อนคนนึงที่คิดรวมตัว เชื่อพี่ (ไอปุ้ม แกได้เครดิตไป ตลอดชีวิต จบนะ) แล้วเมื่อน้องได้กลับมาเจอกันอีก น้องจะรู้เลย ไอ้เรื่องราวทั้งหลายแหล่สมัยม.ปลาย จะดีหรือร้าย มันคือความทรงจำที่มีค่ามากที่สุด น้องหาไม่ได้แล้วแหละ พี่บอกตรงๆ เพราะฉะนั้น กรูณาใช้ชีวิตช่วงม.ปลายให้คุ้มค่า เกิดประโยชน์สูงสุดกับตัวเองและคนอื่น อย่าให้เหมือนชีวิตวัยรุ่นคนญี่ปุ่นและเกาหลีนะ เราคนไทย ไม่ใช่ญี่ปุ่น และเกาหลี

อ่าวเฮ้ยเพ่!? ทำไมต้องพาดพิงประเทศเพื่อนบ้าน!? ก็เพราะว่าระบบการศึกษาของพวกเค้า มีการแข่งขันกันสูงมาก มากจนกระทั่ง moral* ไม่มี (ในบางประเทศ) พูดให้ตายยังไง คนไทยก็ดีที่สุด แค่คนไทยไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีดี แค่นั้นเอง ตอนพี่อยู่เอแบค เพื่อนสนิทพี่เป็นคนญี่ปุ่น เค้าพูดเองเลยว่า เค้าแปลกใจ เด็กไทยทำไมแชร์ความรู้กัน ช่วยกันติวก่อนเข้าห้องสอบ ที่ญี่ปุ่นไม่มีนะ ต่างคนต่างเรียน รู้อะไรมาไม่บอกเพื่อนด้วย เดี๋ยวเพื่อนได้คะแนนเยอะกว่า!? 2-3 ปีก่อนจบเอแบค เพื่อนสนิทพี่เป็นคนเกาหลี เป็นเพื่อนเกาหลีคนที่ 2 หลังจากเคยเห็นคนเกาหลีครั้งแรกในชีวิตสมัยอยู่ออสเตรเลีย เพื่อนสนิทต่างชาติพี่มีเยอะ มาเองทุกช่วงของชีวิต ไม่รู้มาได้ไง แต่ยังไงก็ทำให้พี่ได้เรียนรู้เยอะมากถึงทั้งวัฒนธรรมความเป็นอยู่ความนึกคิดของเพื่อนแต่ละชาติ ถ้าถามว่ารู้เยอะสุดชาติไหน ขอตอบว่าญี่ปุ่นกับเกาหลี

วันนั้นพี่เพิ่งบอกอาจารย์เกรียงไป ว่าประเทศเกาหลีขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลกด้านระบบการศึกษาดีเด่นไปแล้ว ไม่ดีเด่นไงไหวคับน้องค้าบบบ เด็กเรียนหนักมากกกกก อ่านหนังสือยันตี 2 ตี 3 ตื่นเช้าไปเรียนต่อ นั่นคือเป็นเรื่องว่าทำไมเกาหลีใส่แว่นเกือบทุกคน แต่มีวัฒนธรรมเกาหลีอย่างเดียวเลยที่พี่ไม่ปลื้มเอามากๆ และหวังใจเอามากๆด้วยว่า พวกเราเด็กไทยจะไม่เป็นแบบนี้ นั่นคือ วัฒนธรรมแบบเล่นพรรคเล่นพวก ภาษาอังกฤษเรียก "Bullying"* ภาษาไทยพื้นบ้านแบบขัดเกลาแล้ว "สุนัขหมู่" ชัดนะ

ตัวพี่เองได้มีโอกาสเข้าไปใกล้ชิดและได้ประสบเรื่องนี้เข้ากับตัวเอง ถึงแม้จะไม่โดนพี่โดยตรง เกิดขึ้นในกลุ่มเพื่อนคนเกาหลีของพี่เอง แต่ขอบอกได้เลยว่าใครที่ชอบ "bullying" คนนี่นะ ชีวิตไม่ประเทือง จิตใจไม่พัฒนา อย่างแรง ใครที่บ้าเกาหลี จะต้องรู้จักละครที่เกี่ยวกับชีวิตนักเรียนหลายเรื่องมากๆที่เกาหลีทำออกมาทุกยุคทุกสมัย (ล่าสุดเรื่อง "School 2013") เป็นละครที่สะท้อนชีวิตนักเรียนเกาหลีอย่างแท้จริง สะท้อนความรุนแรงและการbullyingของคนเกาหลีสุดๆแล้ว ละครไทยที่ทำออกมาแนววัยรุ่น ถ้าสมัยก่อนคือ "น้ำพุ" สมัยนี้คือ "ฮอร์โมน"

ห่วงมากเรื่องนี้ เรื่อง bullying หรือ สุนัขหมู่ เนี่ย น้องต้องจำให้แม่นอย่างนึงนะว่า เราคนไทย เราไม่ใช่เกาหลี เราไม่ทำแบบเกาหลี คนไทยมีจิตใจอ่อนโยน ให้อภัยกัน บอกตรงๆ พี่ไม่แน่ใจเด็กๆสมัยนี้ว่าน้องมีจิตใจเป็นยังไง ยังเคารพนับถือยกมือไหว้ผู้ใหญ่อยู่มั๊ย เดินผ่านอาจารย์ก้มตัวมั๊ย อะไรแบบนี้ เกาหลีไม่มีนะน้อง คนไทยเท่านั้น เป็น signature* และ limited edition* สุดๆแล้ว คำถามคือ พวกน้องจะรักษาความเป็นเอกลักษณ์นี่ได้หรือไม่ พี่ยกให้น้องเป็นคนตัดสินใจ ~

ใครที่รู้และติดตามข่าวเกาหลีอยู่ตลอด จะต้องเคยเห็นข่าวเยอะมาก ว่าน้องๆม.ปลายฆ่าตัวตายหลายคน จากหลายๆโรงเรียนในทั่วทุกมุมของประเทศเกาหลี ขอบอกว่ามีทุกปี สาเหตุหลักของการฆ่าตัวตายคือถูก "bullying" มาจากพวกเด็กเกเรในห้องไม่ก็ในโรงเรียนนั่นแหละ ดูแล้วก็งง เพราะชีวิตพี่ไม่เคยเกิดการ bullying เกิดขึ้น น้องคับน้อง เพื่อนๆที่น้องคบ สำคัญนะ "คบคนพาล พาลไปหาผิด คบบัณฑิต พาลไปหาผล" มันเป็นแบบนั้นจริงๆ แต่พี่ขอต่อให้นิดส์นึง "หากไม่มีบัณฑิตให้คบ ก็จงเป็นบัณฑิตเสียเอง" อยู่มันคนเดียวไป อย่าได้แคร์ (ขอเก็บส่วนนี้ไว้พล่ามในคอลั่ม คำคมวันละนิด จิตแจ่มใส่ : A Quote A Day ก็แล้วกันนะ)

High School Love On นี้จึงอยากจะฝากน้องๆไว้ให้คิด สูตรชีวิตช่วงม.ปลายของพี่ลิง "เรียนให้จบ" + "คบเพื่อนให้ดี" = "มีชัยไปกว่าครึ่ง" นะน้องนะ ~

*Pros and Cons เป็นการเปรียบเทียบถึงข้อดีข้อด้อย(ข้อเสีย)ของอะไรบางอย่าง เช่น Pros and Cons ของการจะซื้อบ้านหรือคอนโดดี เรียนต่อเลยหรือทำงานดี
**คำอธิบายเพิ่มเติม >>>  Pro and Con

*Trauma แปลได้ว่าบาดแผลทางจิตใจ หรือ ความบอบช้ำทางจิตใจ เช่น สมัยเด็กใครเคยติดอยู่ในลิฟท์คนเดียวตอนไฟดับ แล้วกว่าจะคนจะมาช่วย คือนานหลายชั่วโมง มืดก็มืด ร้อนก็ร้อน อะไรจะเกิดก็ไม่รู้ พวกนี้คือถ้ารอดมาได้ มีtraumaแน่นอนในการขึ้นลิฟท์ ไม่ก็ต้องนอนเปิดไฟตลอดเวลา อะไรทำนองนี้นะ
**คำอธิบายเพิ่มเติม >>>  Trauma

*Keep in touch เป็นคำพูดก่อนจะลาจากกันแบบไม่เจอกันในเร็ววันนี้แน่นอน แปลได้ยาวๆเลยว่า อย่าหายการติดต่อไปนะ ต้องติดต่อมาตลอดนะ แบนนั้นคือ Keep in touch.
ตัวอย่าง ในงานเลี้ยงรุ่น เพื่อนๆมากันครบ ขาดเพื่อนไปคนนึง สมมุติชื่อ Sue ก็จะคุยกันว่า นี่เธอๆ ได้ข่าว Sueบ้างมั๊ย ถ้าไม่มีใครรู้เลย ก็จะมีคนพูดว่า "I don't know. I didn't keep in touch with her." ไม่รู้สิ ไม่ได้ติดต่อกันเลย

*moral คือมีศีลธรรมจรรยา คนที่ไม่มี moral คือคนที่ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ถึงแม้ว่าจะทำให้คนอื่นเดือนร้อน ตัวเองก็ไม่สนใจ แบบนี้น่าคบมั๊ย?
**คำอธิบายเพิ่มเติม >>> Moral

*bullying คือการข่มเหงรังแก นี่คือแปลแบบภาษาดิคชันนารี่ แต่ภาษาชาวบ้านคือ สุนัขหมู่
ตัวอย่างชัดมาก เพื่อน3คนคบกันรักกันฉันท์เพื่อน สมมุติชื่อ A,B,C ต่อมา A กับ B ทะเลาะกัน A มาสั่งให้ C เลือกว่าจะคบใคร ถ้าจะเลือกคบ Aต่อ ต้องเลิกคบ B ถ้าจะเลือกคบ B งั้นต้องเลิกคบกับ A ส่วน Bไม่พูดไร ยอมรับและเคารพในการตัดสินใจของ C เพราะตัว B เอง รู้จัก C ผ่าน A ประเด็นคือ A กระทำการ bullying  B โดยการไปก่อกวนทุกวิถีทาง สั่งให้เพื่อนตัวเองทุกคนที่รู้จัก B เลิกคบ B และด้วยเพราะ A ค่อนข้างมีอิทธิพลทางจิตใจอยู่ระดับนึง ทุกคนเลยกลัว จะกลัวด้วยความรักเพื่อนแบบตาบอดไม่ใช้สมองคิดบ้าง หรือกลัวด้วยความกลัวส่วนตัวที่จะต้องอยู่โดยไม่มีความช่วยเหลือของ A ทำให้ทุกคนเลือก A แล้วยอมเลิกคบ B การกระทำของ A คือการ "bullying"
**คำอธิบายเพิ่มเติม >>> bullying

ป.ล. น้องๆคับ มาถึงตอนนี้น้องๆอาจจะเดาได้ว่าพี่นี่แหละคือ C น้องๆคิดว่าพี่ตัดสินใจยังไง!? ... พี่เลือก B คับ และเป็นคนเดียวที่เลือก B ในขณะที่ทุกคนหันหลังให้ B หมด เพราะพี่ไม่ชอบอาการ สุนัขหมู่ อย่างแรง แล้วคนอย่างพี่ไม่กลัวการอยู่คนเดียว พี่มีแนวของพี่ชัดเจนมาก แล้วพี่ก็ไม่สนับสนุนให้ใครแสดงอาการสุนัขหมู่ออกมา มันไม่น่ารักคับน้อง คนจริงต้องไม่ bullying คน คนจริงต้องช่วยคน โกรธกันให้คุยกันดีๆ อย่าทำร้ายกัน น้องต้องอย่าลืมว่า ครั้งนึงพวกน้องเคยเป็นเพื่อนกัน รักกัน มีความทรงจำดีๆร่วมกัน ถ้าจะไม่รักกันแล้ว ขอให้จากกันดีๆ อย่าทำร้ายกัน

*signature แปลว่าลายเซ็น แบบใครจะเซ็นสัญญาซื้อบ้าน รถ ที่ดิน จะมีช่อง signature ให้เซ็นชื่อเราเป็นหลักฐาน
signature แปลได้อีกแบบว่า สัญลักษณ์ หรือ เอกลักษณ์ ยกตัวอย่าง กระเป๋าแบรนด์เนมยี่ห้อ Louis Vuitton ของฝรั่งเศสจะมี signature ที่กระเป๋าเป็นลาย LV นั่นเอง
**คำอธิบายเพิ่มเติม >>> signature

***เน้นว่าลายเซ็นของดารานักร้องนี่ไม่ใช่ signature นะ แต่เป็นคำว่า autograph แปลว่าลายเซ็น ลายเซ็นดารานักร้องเวลาเซ็นให้แฟนคลับนั่นแหละ ใครแจ็คพอตแตกไปเจอดารานักร้องที่ชื่นชอบเดินอยู่ในห้างก็วิ่งไปหาเค้าเลยแล้วบอกว่า "May I have your autograph, please?" ขอลายเซ็นหน่อยได้มั๊ยค๊ะ

*limited edition อันนี้ไม่ต้องอธิบายมาก ทุกคนต้องรู้แน่นอน ว่าคือของบางอย่างที่ทำออกมาจำนวนจำกัดนั่นเอง ซื้อให้ทันนะ เพราะมันเป็น limited edition หมดแล้วหมดเลยยยยยยย ~






Wednesday, October 8, 2014

คุณขอมา (Requested Topic) : ขอแนวทำอย่างไรให้ชีวิตเป็นปกติสุข เมื่อ ณ ขณะนั้นกำลังอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์

คุณขอมา (Requested Topic) : "ขอแนวทำอย่างไรให้ชีวิตเป็นปกติสุข เมื่อ ณ ขณะนั้นกำลังอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์"

ไม่ได้เขียนคอลั่มนี้มา4เดือน เพื่อนเสาวณีย์มาเป็นเกียรติเรียกคอลั่มนี้กลับมาจนได้ request มาว่า "ขอแนวทำอย่างไรให้ชีวิตเป็นปกติสุข เมื่อ ณ ขณะนั้นกำลังอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์" เล่นเอาลิงมึนเลย Quote ที่เกี่ยวกับชีวิตๆนี้มีเยอะมากกกก แต่จะขอเลือกเอา 3 Quotes ที่อ่านเจอล่าสุดไม่เกินเดือนก็แล้วกันนะ

มาดูคำคมแรก "Life is a circle of Happiness, Sadness, Hard times, good times. If you are having hard times have faith that good times are on the way."

แปลได้ใจความเอาแบบภาษาพูดว่า "ชีวิตมันก็คือวังวนแห่งความสุข ความทุกข์ เวลาร้ายๆ และเวลาดีๆ ถ้าตอนนี้คุณกำลังอยู่ในช่วงตกระกำลำบากอยู่ละก็ ให้เชื่อได้เลยว่าเวลาดีๆมันกำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้านี้แหละ"

ใครที่ชอบดูดวงเป็นประจำ จะต้องรู้จักหรือเคยเห็น "กราฟชีวิต" ที่เป็นเส้นขึ้นๆลงๆตามช่วงอายุคนเรานั่นเอง คนเฒ่าคนแก่ชอบพูดว่า ชีวิตมีขึ้นมีลง เป็นเรื่องธรรมดา ใครขึ้นตลอดลงตลอดนี่ไม่ใช่และ บางคนบ่นว่าเนี่ย ลงตลอด ยังไม่ขึ้นที ทำไม!? ตอบแบบพุทธศาสนิกชนดีๆว่า ก็เพราะว่าคุณยังไม่ได้เรียนรู้จากการที่ชีวิตอยู่ในขาลง แบบนั้นหน่ะนะ เค้าจะไม่ให้คุณผ่านขึ้นไปได้แน่นอน ต้องเรียนรู้ให้ได้ก่อนนะว่าลงแล้วได้อะไร จะได้เอาไปใช้ยามที่ชีวิตเริ่มขึ้น ขึ้นแล้วลืมตัว เดี๋ยวก็หล่นลงมาอีก เค้าเรียกว่าอะไรนะ บ่วงกรรม? อยากหลุดมั๊ย อยากหลุดต้องเรียนรู้ทุกๆช่วงของชีวิต แล้วเอาไปพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นไง จบข่าว

*Hard time
Hard แปลว่า แข็ง
Hard time เวลาแข็งๆ!? ไม่ใช่ ภาษาอังกฤษนี่ก็นะ คิดไปได้ แต่เข้าใจได้ไม่ยาก แปลได้ว่า "ช่วงเวลายากลำบาก" นั่นเอง ตรงข้ามกับ Good time ดีๆนี่เอง แปลว่า ช่วงเวลาดีๆ

มาดูประโยคตัวอย่าง Hard time กัน

ลูกเรือใหม่ เพิ่งเริ่มบินได้ไม่กี่วัน ไปเจอเอากับเพื่อนลูกเรือจอมโหดชื่อดัง ขี้แกล้งเป็นที่1 จิกหัวใช้ยิ่งกว่านางในบ้านทรายทอง หัวหน้าลูกเรือเกรงว่าลูกเรือคนใหม่จะไม่มีชีวิตรอดกลับมาหลังจบไฟลท์ เลยพูดกำชับลูกเรือทุกคนในไฟลท์ไว้ก่อนว่า "Don't give her hard time." แปลตามอังกฤษเป็นไทยแบบฉบับหนังสือๆได้ว่า "อย่าไปทำให้น้องเค้าลำบากมากนะ" แต่ถ้าแปลแบบวัยสะรุ่นคุยกัน "กรุณาอย่าจัดหนักเด็กใหม่นะ" ประมาณนี้

ใครที่ชีวิตกำลังอยู่ในขาลงช่วงนี้ ทะเลาะกับเพื่อน/แฟน บ้านถูกยึด รถถูกขโมย โดนโกง อะไรแย่ๆทั้งหลายแหล่ พูดเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า "I'm having a hard time."


คำคมที่ 2 "Be thankful for the bad things in life. They open your eyes to see the good things you weren't paying attention to before."

"ให้รู้สึกขอบคุณสิ่งแย่ๆที่เข้ามาในชีวิต เพราะสิ่งแย่ๆเหล่านี้แหละที่จะมาเปิดหูเปิดตาเราให้ได้เห็นในสิ่งดีๆที่เราไม่เคยให้ความสนใจมาก่อนเลย"

คำคมนี้ไม่น่าจะพ้นคนใกล้ตัว ในที่นี้คือคนในครอบครัว เพื่อนสนิททั้งหลายที่เรียกได้ว่า วงในเกินไป วงในซะจนมองไม่เห็นว่าอยู่ตรงนั้น ทำให้เรามองข้ามเค้าไป ไปหาคนอื่นที่เป็นพ่อรึก็ไม่ใช่ แม่รึก็เปล่า ที่พอเกิดเรื่องร้ายๆขึ้น โน้นนน วิ่งตูดแน่บเลย ขอบใจ!!!~ คนที่เหลือ คือคนที่เป็นห่วงเราอย่างแท้จริง ไม่พ้นคนเป็นพ่อแม่พี่น้อง เพื่อนฝูงที่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนกันจริงๆนั่นแหละถึงไม่ทิ้งกัน ... คำถามของลิงคือ ไอ้พวกที่วิ่งตูดแน่บไปนั่นหน่ะ คุณจะคบต่อมั๊ย!? จบนะ

ใครเป็นนักอ่านบ้างนิ? ใครอ่านหนังสือเยอะๆ อาจจะรู้จักหนังสือเรื่อง "The Alchemist" แต่งโดย Paulo Coelho เรื่องราวออกแนวคำคมนี้เลย ว่าผู้ชายคนนึงออกเดินทางตามหาสิ่งที่คิดว่าใช่สำหรับชีวิตตัวเอง ทำให้เจอเรื่องเยอะแยะมากมาย สุดท้ายสิ่งนั้นก็อยู่ในที่ๆตัวเองจากมานั่นแหละ มองไปไหนไกล ไม่ต้อง อยู่ตรงนี้ ที่ตัวเองนั่นแหละ ไปหาอ่านเอา นะจ๊ะ

*Pay attention แปลว่า ให้ความสนใจ/ตั้งใจฟัง
ใครเคย หรือ ชอบ daydreaming(ฝันกลางวัน)บ่อยๆแล้วจะเข้าใจตัวอย่างนี้แน่นอน ว่า เพื่อนสนิทกำลังร่ายปัญหาชีวิตประจำวันตามประสาวัยรุ่น แต่คือ คนฟังไม่ได้ฟังไง คิดเรื่องอื่นอยู่ พอเพื่อนสะกิดถามขึ้นมาว่าฟังอยู่มั๊ยนี่!? เลยต้องพูดตอบไปว่า "Sorry. I didn't pay attention. What did you say?" แปลว่า "โทษทีนะ ไม่ได้ตั้งใจฟังอ่ะ เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ" อืมมมมมมม เขกหัวมันที ตื่นๆๆๆ

**ตัวอย่างของ pay attention ในแบบอื่นๆ http://dict.longdo.com/search/pay%20attention

คำคมที่3 "Your problem is never really your problem, your reaction to your problem is your problem."

มาจบกันที่คำคมสุดท้าย ชอบมาก คำว่า problem เยอะจนมึนไปเลยป่ะ อิอิ

"จริงๆแล้วปัญหาของคุณหน่ะมันไม่ใช่ปัญหาหรอก แต่มันคือการตอบโต้กับปัญหาต่างหากที่เป็นปัญหาของคุณ"

(เอ่ออออ แปลเอง มึนเอง ขอบอก ยังไม่ได้นอนก็แบบนี้แหละนะเพื่อนเสา ทนอ่านไปนะ ฮ่าๆๆๆ)

คือ คนร้อยพ่อพันธุ์แม่ เลี้ยงดูมาไม่เหมือนกัน การแก้ปัญหาแต่ละคนก็แตกต่างกัน บางคนเจอเรื่องร้ายๆเรื่องเดียวกัน แต่แสดงออกกันคนละแบบ คนนึงนิ่ง ทำความเข้าใจกับปัญหา แล้วค่อยๆแก้ไป อีกคน freak out(สติแตก)ไปเลย อะไรแบบนี้ จะบอกว่าต้องรอให้โตก่อนอายุมากๆก่อนนี่ไม่จริงนะ น้องๆเด็กๆก็สามารถอยู่นะ แค่ต้องมี "สติ" อยู่กับตัวแค่นั้นเอง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็แก้ได้ เชื่อมั๊ย?

เพื่อนเสากำลังอยู่ในช่วงสร้างหลักฐานความมั่นคงให้กับชีวิตครอบครัว ไม่พ้นเรื่องทำธุรกิจ ก็ต้องมีเรื่องให้ชวนปวดหัว ท้อแท้ อยากจะล้มเลิกชิมิ คำถามคือ เลิกแล้วได้อะไร สู้ต่อแล้วได้อะไร คำตอบของสองคำถามนี้ อยู่คนละขั้วเลย ในเมื่อชีวิตเราเลือกได้ เสาจัดเลยคับ!!!~

ขอแทรกเรื่องตัวเองบ้าง อิชั้นไม่ได้มีชีวิตสงบสุขเสมอไปนะค๊ะ เจอเสา "ขอแนวทำอย่างไรให้ชีวิตเป็นปกติสุข เมื่อ ณ ขณะนั้นกำลังอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์" มานี่ ลิงสามารถ relate ตัวเองเข้าไปได้อยู่เยอะเลย เป็นแอร์นี่ ไปบินๆที ไม่ได้บินกับคนหน้าเดิมๆซักเท่าไหร่นะ วันไหนเจอลูกเรือที่ออกแนว "เมิงเกิดมาทำไม๊!?" ลิงจะทุกข์หนัก เพราะชีวิตชอบความรื่นรมย์อยู่ท่ามกลางเสียงเพลงกับท่ามกลางคนดีๆ มาเจอคนพวกนี้ ทุกข์ไป10วิ!!!~ ย้ำว่า10วิเท่านั้น เพราะสมองเล็กๆของลิงสามารถคิดได้ว่า อ่อ "คนพวกนี้ เกิดมาแบบนี้ และ จะตายไปแบบนี้" นั่นเอง ฮิ้วววววววววววววววว ~ คิดได้ดังนั้นก็ยิ้มออก โอเคเดี๋ยว ไอ จะทำให้ ยู รู้ว่า ชีวิตที่คนดีๆเค้าใช้กัน มันเป็นเช่นไร ลูกเรือไทยเท่านั้นที่สามารถปราบมารได้ ขอบอกกกกก ~

สุดท้ายๆสุด นั่งเขียนให้เพื่อนเสามาจะ 2 ชั่วโมง หวังว่าเพื่อนเสาจะยิ้มออกบ้างไม่มากก็น้อยแหละนะ ขอจบมหากาพย์ลิงพูดไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้ พรุ่งนี้มีคิวมาต่อใหม่ "แนะแนวข้ามทวีป : High School Love on" ~

ติดตาม "คุณขอมา (Requested Topic)" ได้ที่ 

>>> รวมทุกโพสต์ของ "คุณขอมา (Requested Topic)" <<<




Friday, October 3, 2014

คำคมวันละนิด จิตแจ่มใส (A Quote A Day) : Bad things are always going to happen in life. People will hurt you. But you can't use that as an excuse to hurt someone back.

คำคมวันละนิด จิตแจ่มใส (A Quote A Day) : Bad things are always going to happen in life. People will hurt you. But you can't use that as an excuse to hurt someone back.

มีเวลาชั่วโมงเดียว ขอมาปั่นบทความให้เพื่อนดารณีอ่านกันเพลินๆ จะอ่านquoteที่ลิงลงนี่ต้องใช้ดิคชันนารี่กันเลยเร๊อะ!? บางคนเห็นภาษาอังกฤษเยอะๆ ตาลายแปลไม่ออก ยอมแพ้ ยังไม่ทันได้เพ่งดูให้ดีๆเลยยอมแพ้ซะแล้ มานี่ๆ มาดูใหม่ดีๆ เด็กวิทย์-คณิตที่ไหนก็ใช่หลักการเดียวกันในการแปลโจทย์เลขเชื่อสิ (ถามลิงนี่ เรียน ABAC กว่าจะผ่าน Re-Math กับ Math for Business เสียเวลาไปกี่ปี ทั้งๆที่เอากันจริงๆแล้ว มันไม่มีไรเลย2วิชานี้ อาเมน)

อ่ะ จับQuoteมาขึ้นเตียงผ่าตัดกันเถอะ!!!~

จะเห็นได้ว่ามีอยู่3ประโยคในQuoteนี้ ;

1. Bad things are always going to happen in life.
2. People will hurt you.
3. But you can't use that as an excuse to hurt someone back.

เดาได้เลยว่าดารณีแปลได้แน่ๆ2ประโยคแรก 

1. เรื่องแย่ๆ/สิ่งแย่ๆมันจะเกิดขึ้นแน่นอนในชีวิตคนเรา
2. ผู้คนทั้งหลายจะทำร้ายความรู้สึกคุณ 

ประโยคที่3 But you can't use that as an excuse to hurt someone back. ดารณีน่าจะงงตรง use that as an excuse to hurt someone back ลิงเดาถูกป่ะ

- คำว่า that ในที่นี้ refer(อ้างอิง) ถึง ประโยคที่2ที่ว่า "People will hurt you"
- as an excuse คือ เอามาเป็นข้ออ้าง 
- to hurt someone back ไม่ได้แปลว่า ไปทำร้ายหลังใคร!? 

*** An excuse คือ ข้ออ้าง (สังเกตุง่ายๆทำไมแปลว่าข้ออ้าง เพราะมี "an" นำหน้า และ "excuse" มันอยู่ตัวเดียว มันไม่มี me ให้เป็น "excuse me" ไงจ๊ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ กำปั่นทุบดิน

***Excuse me คือ การใช้เรียกคนให้หันมา เช่น คนขายนั่งเล่นแชทไลน์ จะซื้อของอ่ะ หันมาหน่อยป้าๆ "Excuse me, how much is this?" ขอโทษนะค๊ะ อันนี้ราคาเท่าไหร่ค๊ะ

***to .... someone back  VS.  to ..... someone's back***

to .... someone back คือ ทำอะไรใครกลับไป เช่น to hit him back (ตีเค้ากลับไป) to pay him back money (คืนเงินเค้าไป)

ถ้าจะเอาความหมายตรงๆว่าไปทำอะไรที่ "หลัง(ส่วนของร่างกาย)" ใคร ต้องบอกว่า to ..... someone's back เช่น I want to kick his back real bad. (ชั้นหล่ะอยากจะเตะหลังมันจริงๆเลย) ขอลิงอธิบายแบบ PG18+ Parental Advisory ว่า "I wanna kick his ass" ไม่ต้องแปลชิมิ!? ประโยคนี้ใครไม่เคยได้ยินนี่ไม่ใช่และ 

คำเตือน ถ้านี่คือข้อสอบ คุณอาจถูกหลอกได้
1. I want to kick his back.
2. I want to kick him back.

ตอบมาาาาาาาาาา ข้อไหนเป็นตัวอย่างของ "to .... someone back" และข้อไหนเป็นตัวอย่างของ "to ..... someone's back"

ชักไถลไปไกล กลับมาก่อนเพื่อน มาดูคำคมเต็มๆนี้กัน "Bad things are always going to happen in life. People will hurt you. But you can't use that as an excuse to hurt someone back." แปลเป็นภาษาพูดนะ ได้ว่า "มันต้องมีเรื่องแย่ๆเกินขึ้นแน่นอนอยู่แล้วในชีวิตคนเราเนี่ยนะ ผู้คนต้องมีการทำร้ายความรู้สึกกันอยู่แล้ว แต่เราจะเอาเรื่องนั้นมาเป็นข้ออ้างในการทำร้ายเค้ากลับไปนี่ไม่ได้นะ"

เกทมั๊ยดารณี? ขนาดแปลเป็นไทย คำว่า that ยังอยู่เลย เพราะไม่มีใครพูดซ้ำกับประโยคที่ได้พูดออกไปแล้วนั้นเองว่า "ผู้คนต้องมีการทำร้ายความรู้สึกกันอยู่แล้ว " ย่อเป็น "เรื่องนั้น" แทน 

ประเด็นคือ เค้าทำร้ายความรู้สึกเรามา เราทำร้ายความรู้สึกเค้ากลับ ผลลัพธ์คือ เจ็บทั้งคู่ ถูกป่ะ ด้วยเหตุและผลนี่ คนไทยจึงโชคดีที่มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ เพราะอะไรไม่ต้องอธิบายชิมิ!? ให้เขียนเป็นเราๆท่านๆเขียน คือ คุณคับ เค้าร้ายมา คุณร้ายกลับ คุณก็ชั้นเดียวกับเค้ารึเปล่าคับ เกทนะ ~ ^_^


ใครชอบอ่านคำคมเหมือนกัน กดโลดดดด มีให้อ่านอีกเยอะเลยสำหรับคอลัมน์นี้ 
>>> รวมทุกโพสต์ของ "คำคมวันละนิด จิตแจ่มใส (A Quote A Day)" <<<



Thursday, October 2, 2014

แนะแนวข้ามทวีป : Introduction

กราบสวัสดีอาจารย์ที่เคารพรักทุกท่าน เพื่อนร่วมรุ่นทุกคน รุ่นน้องราชีนีที่น่ารัก รวมไปถึงมิตรรักแฟนเพจทุกคนอย่างเป็นทางการ!!!~

เค้าว่ากันว่า J.K. Rowling นึกพลอทเรื่อง Harry Potter ออก ขณะกำลังอยู่บนรถไฟ แต่ลิงนึกคอลั่มใหม่ "แนะแนวข้ามทวีป" ออกเมื่อ2วันก่อนตอนกำลังวิ่งบนลู่วิ่งที่ฟิตเนสในตึกที่พัก วิ่งไปวิ่งมาก็ปิ๊งๆๆๆไอเดียขึ้นมาซะงั้นอ่ะเอากะลิงสิ

แรงบันดาลใจในการเปิดคอลั่มใหม่ รวมถึงการกลับมาเขียนแบบจริงจังอีกครั้งของลิงในวันนี้คือ อ.เกรียงไกร ทองชื่นจิต อาจารย์สอนภาษาฝรั่งเศสของโรงเรียนราชีนีบูรณะ จ.นครปฐม น้องๆคับ ถ้าไม่มีอ.เกรียงไกร รวมไปถึงอ.ท่านอื่นทุกๆท่านที่เกษียนไปแล้ว และที่ยังสอนอยู่ที่โรงเรียนราชีนีในวันนี้ คงไม่มีพี่ลิงคนนี้มานั่งเขียนอะไรที่ "ดูเหมือน" จะไร้สาระให้น้องๆได้อ่านกันแน่นอนคับ

อีกหนึ่งแรงบันดาลใจ มาจากเพื่อนๆร่วมห้อง 6/5 รุ่น 2538 ทุกคน ในที่สุดพวกเราก็ตามหากันจนเจอ หลังจากกระจัดกระจายเป็นกลุ่มเล็กๆแค่เพื่อนสนิทๆไม่กี่คนกันมานาน 20ปีนี่ไม่ใช่น้อยๆเลย แต่ความเป็นเพื่อนก็ยังคงเหมือนเดิมจริงๆ เรียกได้ว่ามันคือการย้อนเวลาไปข้างหน้าคับพี่น้องคับ ใครติสต์ตามลิงทัน ช่วยยกมือด้วย ~

ทำไมต้อง "แนะแนวข้ามทวีป"?  ก็เพราะพี่อยู่ไกล ไม่ได้อยู่เมืองไทยหน่ะสิ และก็เพราะอาจารย์เกรียงไกรแนะนำว่าถ้าว่างๆก็ให้เข้าไปแนะแนวรุ่นน้องๆที่โรงเรียนราชีนี เผื่อน้องได้ไอเดียอะไรดีๆที่เป็นประโยชน์กับชีวิตการเรียนของน้องๆ  แต่พี่ก็ไม่แน่ใจว่าไอ้วันว่างๆของพี่นี่มันจะมาถึงเมื่อไหร่ ไหนๆเมืองไทยก็จะเข้าสู่ยุคอาเซี่ยนกับเค้าแล้ว เรามาไฮเทคเปิดแนะแนวกันข้ามทวีปผ่านเพจ "แม่ชมกรให้สอนภาษา" นี่กันเถอะ!!!~ ***อัพเดท ณ วันที่ 28/06/2020 พี่ deactivate (ปิดการใช้งานชั่วคราว) เพจ "แม่ชมกรให้สอนภาษา" นี้ไปตั้งแต่ปี 2017 แล้ว เพราะพี่ไม่เล่นเฟซบุค และไม่เล่น Social Network อื่นๆเลย ขอทำแค่บล็อคนี้เป็น Public ตัวเดียวเท่านั้น***

หัวข้อในการแนะแนวจะมาจากคำถามของน้องๆเองที่อาจจะโพสถามพี่หน้าเพจนี่เลย หรือใครชอบปิดทองหลังพระก็เชิญทิ้งคำถามหลังไมค์ได้ ชื่อและเบอร์โทร(!?)จะถูกเก็บเป็นความลับคับ อิอิ ยินดีทุกรูปแบบนั่นแหละ ใครกำลังสับสนในชีวิต คิดไม่ออกบอกไม่ถูก จะซ้ายหรือขวา ก้าวหน้าหรือถอยหลัง ยิงคำถามมา เดี๋ยวพี่จัดให้ คุยได้ทุกเรื่องคับ ขอแค่น้องเปิดประเด็นมา

"แนะแนวข้ามทวีป" ตอนนี้มีชื่อว่า "Introduction" ถูกแล้วน้อง มันคือการแนะนำตัว ใครอ่านมาจนถึงตอนนี้ต้องรู้เรื่องพี่แน่ๆแล้ว 3-4 อย่าง ว่าพี่ จบรุ่น2538 (น้องๆ เกิดยัง!? -_- ) ห้อง6/5 สายศิลป์ฝรั่งเศล และตอนนี้ไม่ได้อยู่เมืองไทย คับน้อง พี่ชื่อ "แอน" ฉายา "monkeyann" เพื่อนคนไทยเรียก "ลิง" เพื่อนๆต่างชาติเรียก "crazy" ถือเป็นคำชมทั้งนั้น ขอบอกกกกกกก

จบม.6 แล้วพี่ไม่ได้สอบเอนทรานซ์คับ ไปเรียนภาษาต่อที่ Melbourne, Australia เลย ไปแค่ปีเดียว แล้วกลับมาสอบเข้า ABAC (Assumption University) พี่จบคณะ Arts Business English (Minor in Advertising) เทียบเท่าอักษรศาสตร์ตามมหาวิทยาลัยทั่วไป ต่างกันตรงที่ ABAC ทุกวิชาเรียนเป็นภาษาอังกฤษหมด อย่าถามว่าเรียนกี่ปีจบ พี่ติสต์ตัวพ่อ เรียนๆเล่นๆแต่ก็จบมาได้ก็แล้วกัน ฮาาาาาาาาาา งานแรกที่ทำคือเป็นล่ามภาษาอังกฤษให้กับบริษัท Hewlett-Packard Thailand (HP) อยู่ประมาณ1ปี แล้วมาเป็นอ.สอนภาษาอังกฤษที่ ECC Siam Square อยู่เกือบปี แล้วถึงไปไงมาไงมาเป็นแอร์โฮสเตสสายการบิน Gulf Air ของประเทศบาห์เรนได้อยู่จนถึงทุกวันนี้ก็ไม่รู้ เข้าปีที่ 13 (updated) แล้วคับที่เป็นแอร์ งานแอร์ ต้องขอวงเล็บว่าเป็นงานแอร์ที่เบส*ในประเทศแถบ Middle East (ประเทศแถบอาหรับ)เท่านั้นนะ จะเจออะไรเยอะมาก มากกว่าแอร์ที่เบสไทย มากกว่ายังไง รออ่านในบทความต่อๆไป พี่เอามาแทรกได้ตลอดแหละน้องคับ เอาเป็นว่าติดตามกันต่อไป นะ ~

แนะนำตัวพอกันพอหอมปากหอมคอนะวันนี้ ตอนหน้ามาดูกัน จะเริ่มแนะแนวอะไรเป็นเรื่องแรก ผู้ใดสนใจให้ประเด็นลิง กรุณาเม้น*บอกต่อหน้าหรือลับหลัง ได้หมด กล้าเม้นมั๊ยแค่นั้นเอง!?

สำหรับวันนี้ ขอบพระคุณและสวัสดีค่ะ (เอามาจากP.A.สายการบิน) หุหุ ~

*เบส ภาษาอังกฤษคือ base ในที่นี่คือ ประจำอยู่ ณ ที่นี่เลย แอร์สายการบินไทย เรียกว่า Base in Thailand

*เม้น ภาษาอังกฤษคือ comment แปลเป็นไทยภาษาคอมพิวเต้อได้ว่า แสดงความคิดเห็น

*P.A. คือ Public Announcement เป็นประกาศของแต่ละสายบิน เวลาผู้โดยสารขึ้นเครื่องหมดแล้ว น้องๆจะได้ยินประมาณว่า "สวัสดีค่ะท่านผู้โดยสาร" ภาษาอังกฤษก็ 
"Good morning/afternoon/evening Ladies and Gentlemen" สายการบินไหนขี้เล่น จะต่อว่า "boys and girls" :D 

จบนะ ~





Picture Updated : 28/06/2020
Picture Location : Rabat, Morocco.
Date : July 24'2018
Model : MonkeyANN

Sunday, September 28, 2014

คำคมวันละนิด จิตแจ่มใส (A Quote A Day) : "Don't let your happiness depend on something you may lose"

คำคมวันละนิด จิตแจ่มใส (A Quote A Day) : "Don't let your happiness depend on something you may lose."


มาแว้วววว กลับมานั่งแท่นเขียนบทความสาระไม่มี เอ้ยยย สาระดีๆให้อ่านกันขำๆนะ เนื่องด้วยพักร้อนครั้งล่าสุดได้มีโอกาสกลับไปกราบอาจารย์สมัยม.ปลาย ได้เจอเพื่อนๆรุ่นดึกดำบรรพ์แล้วใจเต้นแรง ใครที่มีชีวิตผ่านมาได้ถึงขนาดนี้ ถือว่าประสพความสำเร็จแล้ว เดินเข้าโรงเรียนไปได้เห็นน้องๆกำลังสอบ พี่อยากจะบอกน้องๆว่าชีวิตช่วงวัยรุ่นม.ปลายหาที่ไหนไม่ได้แล้วน้องเอ้ยยย เพราะฉะนั้น จงใช้มันอย่างคุ้มค่า นะจ๊ะ ~

เข้าเรื่อง เพื่อนดารณีและเพื่อนเสาวณีย์ไปเห็นโพสในเฟซบุคของลิงอันนึงมีใจความว่า "Don't let your happiness depend on something you may lose." แล้วถามมาว่าแปลว่าอะไร แปลให้ฟังหน่อย แปลให้ฟังเลยมันก็ง่ายไปมั๊ยเพื่อนรัก!? ไหนลองแปลมาซิ คิดว่าแปลว่าอย่างไร เพื่อนกล้าลอง แปลมาว่า "อย่าให้บางสิ่งมาทำให้ความสุขสูญหายไปจากคุณ" อืมมมมมม โอเคเพื่อน เดี๋ยวลิงจัดให้ 

"Don't let your happiness depend on something you may lose." แปลได้ว่า อย่าให้ความสุขของคุณไปขึ้นอยู่กับบางสิ่งบางอย่างที่คุณอาจจะเสียมันไป

คำคมนี้เอามาสอนภาษาอังกฤษได้อยู่เหมือนกัน เดี๋ยวขอลิงจับมันแยกก่อนนะ

1. Don't let 
2. Depend on
3. You may

เท่าที่คิดได้ มี3ข้อ เอาชิวๆนะ

1. Don't let คือ อย่าปล่อยให้ ... 
ตัวอย่าง เช่น Don't let him go อย่าปล่อยเค้าไปนะ (เป็นคนดีมาก!?) , Don't let me down อย่าทำให้ฉันผิดหวังนะ

สังเกตุวิธีการใช้ don't let ว่า don't let เนี่ย don't let อะไร? หรือ don't let ใคร? เพื่ออะไร 
*ใครเคยดู Tinanic ต้องจำประโยคนึงได้ "Don't let go" ในที่นี้คือ "อย่าปล่อยมือชั้นไปนะ" นั่นเอง
*ยุคนี้ต้อง "Frozen" ชิมิ อ่ะจัด "Let it goooooooooooo, let it gooooooooo" มาเป็นเพลง -_- "Let go" หรือ "Let it go" ก็คืิอ ปล่อยมันไป นั่นเอง ใครปัญหาเยอะแยะ จะแบกไว้ทำเพื่อ!? Let it go คับน้องคับ ~

***พี่คิดแทนให้น้องๆที่สับสนว่า อ่าวเพ่ แล้ว "Let's go" หล่ะ -_- เอ่ออออ น้องคับ "Let's go" นั่นแปลว่า "ไปกันเถอะ" ต่างหากคับน้อง จบนะ ~ ^_^

2. Depend on คือ ขึ้นอยู่กับ ...
ตัวอย่างง่ายๆ จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ต้องอ่านหนังสือหัวฟูแบบไม่ต้องเข้าร้านทำผม ใครที่ซีเรียสกับการเอนทรานซ์มากๆจะบอกว่า "My life depends on this exam" ชีวิตฉันขึ้นอยู่กับการสอบครั้งนี้ คับน้องคับ พี่เข้าใจคับ แต่น้องคับ เอากันจริงๆมั๊ยคับ "Your life depends on yourself" ต่างหากหล่ะคับ น้องจะเรียนที่ไหนไม่สำคัญ สำคัญที่ตัวน้องคับ 

*พวกเจ้าหนูจำไม จะมาแย้ง ทำไม depends เติม s -_- กฏของคำกริยาที่ตามหลัง He/She/It ต้องเติม s ขอรับกระผม My life-Your life มันคือ It ดีๆนี่เอง อีกหลักการดูที่ถ้าพี่จำไม่ผิดคือ ถ้ามีพวก Do/Don't อยู่ในประโยคแล้ว คำกริยาที่ตามหลัง He/She/It ไม่ต้องเติม s แล้ว (*อันนี้เข้าขั้นadvanced แล้วคับใครอยากรู้ลึกๆinboxเข้ามาส่วนตัว เดี๋ยวพี่มาจัดให้ทีหลัง) ตัวอย่างเห็นกันง่ายๆ Don't let her go ไม่ใช่ Don't let her goes

3. You may คือ คุณอาจจะ ...
แต่ที่อยากจะบอกในที่นี้คือ "You may" นี่นะ มันเป็นคำตอบสำหรับประโยคคำถามที่ขึ้นด้วย "May I .....?" เช่น แอร์โฮสเตสชั้นเฟิคลาสต้องการจะเก็บจานสลัด(Starter)ออกไปเพื่อจะได้เอาเสต๊กไก่(main course)มาวาง เค้าก็จะพูดกับผู้โดยสารคนนี้ว่า "May I take the plate? / "May I clear in?" ขออนุญาติเก็บจานค่ะ คำตอบที่ผู้โดยสารคนนี้ต้องพูดคือ "You may" หรือ "Yes, please" แปลได้ว่า เชิญเลยครับ 

You may แบบอื่นๆก็ใช้ได้ตามแต่ต้องการจะสื่อว่า "อาจจะ"อะไร "If you continue to have McDonald's at midnight, you may get fat." ถ้ายังจะกินแมคโดนัลด์ตอนเที่ยงคืนไปเรื่อยๆแบบนี้ล่ะก็ เธออาจจะอ้วนเอาได้นะ

*May/Might แปลว่า "อาจจะ" เหมือนกัน ขอเก็บไว้พูดในขั้น advanced ถ้ามีคนขอมานะ ถ้าไม่มีก็ผ่าน อิอิ

สรุป "Don't let your happiness depend on something you may lose." แบบไทยๆยุควัยรุ่นคือ เพื่อน/แฟน ที่ไม่ใช่คนดี น้องๆไม่ควรไปยึดติดกับพวกเค้ามากนัก เพราะเรารักมากหลงมาก เค้าทำอะไรเราก็รัก แบบนี้คือ ถ้าวันนึงพวกเค้าจากไป แล้วน้องจะทำยังไง นั่นคือคำถาม พี่ขอแนะนำว่า รักตัวเองดีที่สุดคับ ฟันธง 

"Don't let your happiness depend on something you may lose." ในแบบสิ่งของคือ พวกติดแบรนด์ทั้งหลายแหล่ ไม่มีแล้วจะหมดลมหายใจ อะไรแบบนี้ ถ้าวันนึงไม่มีเงินซื้อแล้ว หรือของมันเริ่มแก่ชราลงตามวัยแล้ว ชีวิตก็จะเป็นทุกข์ หาสุขเอามิได้ เลยเป็นเหตุให้ต้องเข้าวัดเข้าวา บำบัดกันยามแก่ นะ 

อนุโมทนาสาธุ ไปและ หิววววววววววววววว ~ 


ใครชอบอ่านคำคมเหมือนกัน กดโลดดดด มีให้อ่านอีกเยอะเลยสำหรับคอลัมน์นี้ 
>>> รวมทุกโพสต์ของ "คำคมวันละนิด จิตแจ่มใส (A Quote A Day)" <<<





Thursday, June 5, 2014

เกร็ดภาษาน่ารู้(Language Tips) : 24/7 VS. 7-11

เกร็ดภาษาน่ารู้(Language Tips)  : 24/7 VS. 7-11

คุยแชทเล่นกับเพื่อนข้ามทวีปเมื่อคืน คุยไปคุยมาได้ไอเดีย 24/7 เอามาเขียนซะงั้นอ่ะ!?

24/7 อ่านว่า "Twenty four seven" ทเวนทิโฟเซเว่น ไม่ได้แปลว่า วันที่ 24 เดือนกรกฎาคมนา -_-

24/7 จริงๆแล้วมันเป็นตัวย่อมาจาก "24 hours a day, 7 days a week" แปลได้ว่า "ทั้งวันทั้งคืน" หรือ "ตลอดเวลา" นั่นเอง

แล้วใช้ยังไง? เคยมั๊ยคุยเล่นกับเพื่อน คุยไปคุยมาแล้วต้องการจะบอกว่าตัวเองเนี่ย "ตลอดเวลา" จะอะไรตลอดเวลา!? กรุณาอย่าคิดไปไกล ~ ^_^

สมมุติตัวอย่าง conversation (บทสนทนา) ง่ายๆพื้นๆสั้นๆได้ใจความตามประสาคนกันเองเค้าคุยกัน~

รุ่นน้อง : เจ๊ๆ อยากลดน้ำหนักอ่ะ ทำไง?
รุ่นพี : วิ่งคับวิ่ง!!! วิ่งเท่านั้นอย่างแรก
รุ่นน้อง : วิ่งไม่ไหว เหนื่อย -_-
รุ่นพี่ : เอ้า แล้วน้ำหนักมันจะลดได้ไง!?
รุ่นน้อง : นั่นดิ เอางี้ ไว้อยากลดน้ำหนักใหม่แล้วค่อยมาถามเจ๊ใหม่นะ ~ ^_^
รุ่นพี่ : โอเค มาเล้ย ว่างตลอด 24/7

ถ้าเป็นคนไทยก็อาจแซวกันไปว่า พี่เป็น 7-11 เรอ ว่างตลอดดดดดด เปิดตลอดดดดดด อะไรแบบนี้ แต่ของพวกฝรั่งมังค่า เค้าใช้ 24/7 กันนะเออ เวลาฝรั่งพูด พูดได้ทั้งคำย่อ 24/7  "Twenty four seven" หรือจะพูดว่า "24 hours a day, 7 days a week" ก็ได้

ใครเป็นเซียนดูหน้งแถวนี้ 100 ทั้ง 1,000,000 ต้องได้ยินในหนังแน่ๆ ฟันธง!!!~

จบข่าว สวัสดี ~

ติดตาม "เกร็ดภาษาน่ารู้ (Language Tips)" ได้ที่






Wednesday, June 4, 2014

คุณขอมา (Requested Topic) : Mute ที่แปลว่า ปิดเสียง อ่านว่าอย่างไร

คุณขอมา (Requested Topic) : Mute ที่แปลว่า ปิดเสียง อ่านว่าอย่างไร

ช่วงนี้มีคนมาถามบ่อย ว่าคำนี้อ่านออกเสียงว่าอย่างไร ไม่ก็มาเล่าให้ฟังว่าเคยได้ยินคนอ่านออกเสียงว่าอย่างนั้นอย่างนี้ มันถูกมั๊ย?

ก่อนที่จะลืมเขียนแล้วหนีเข้าโลกแห่งเสียงเพลง รีบมาปั่นก่อนเลยดีกว่า เดี๋ยวจะหายไปยาววว แฮะๆ ~

ทุกบ้านต้องมีทีวี และมี รีโมท รีโมทอะไรก็ได้ที่มีปุ่มกดปิดเสียง อาจจะมีเครื่องหมายปิดเสียงให้เห็นพอเข้าใจ หรือรีโมทบางแบบอาจจะเห็นตัวภาษาอังกฤษเขียนว่า mute อยู่ด้วย

Mute อ่านว่า มิ๊วท์ แปลว่า ปิดเสียง*

*คำแปลอื่นๆของ Mute อยู่ตรงนี้เน้อ  http://dict.longdo.com/search/mute

ใครอยากฟังการออกเสียงแบบฝรั่งมังค่า ขอเรียนเชิญคลิ๊กลิงค์ด้านล่างนี้ได้เลยค้าบบบบบ

http://www.youtube.com/watch?v=-BvUfa0NTXM

ใครกดดูแล้ว ชัดเจนมั๊ย อ่านว่า มิ๊วท์ ไม่ใช่ มุด นะ เออ ~ ^_^

คุณชมกร อ่านว่า มัด !? แม่จะมัดอะไรแม่!? -_-

มีใครอยากรู้เรื่องไรอีกม๊ายยยย หลังไมค์มาโลดดดดด

ติดตาม "คุณขอมา (Requested Topic)" ได้ที่ 
>>> รวมทุกโพสต์ของ "คุณขอมา (Requested Topic)" <<<

Tuesday, June 3, 2014

คุณขอมา (Requested Topic) : รัฐประหาร "A coup d'état"

คุณขอมา (Requested Topic) : รัฐประหาร "A coup d'état"

ยังมีชีวิตอยู่นะคับผู้อ่านทั้งหลาย แค่บินมึนไปหน่อย หาทางกลับมาเขียนไม่ถูก ฮ่าๆๆ >_<

พอดีมีคนมาถามว่า ภาษาอังกฤษของคำว่ารัฐประหารนี่มันอ่านว่าอะไร? 

Coup d'état แปลว่า รัฐประหาร อ่านว่า คู-ดี-ท่า 


คู-ดี-ท่า ไม่ใช่ คู-โบ-ต้า หรือ คุป-ดี-แทด แต่อย่างใด ทำไมอ่านงั้น!? ก็เพราะว่า มันเป็นภาษาฝรั่งเศสนั่นเอง อย่างที่รู้ๆกันว่าภาษาอังกฤษก็มีบางคำที่เอาภาษาฝรั่งเศสมาใช้ เช่น restaurant แปลว่า ร้านอาหาร อ่านว่า เรส-เตอ-รอง ไม่ใช่ เรส-เตอ-แรนท์ 

ทำไมต้องเป็น Coup d'état ? คำภาษาอังกฤษไม่มีเหรอ? ใครเรียนประวัติศารตร์โลกแถวนี้บ้างขอมือหน่อยคับ!!! เดาได้ไม่ยากไม่ต้องถามใคร ฝรั่งเศสเป็นคนคิดคำออกมาใช้ก่อน จบข่าว สำหรับคนรักการอ่านและชอบศึกษาหาความรู้อย่างแท้จริง ขอเรียนเชิญที่ลิงค์นี้ได้เล้ยยยย อ่านแล้วน่าสนใจอยู่นา http://en.wikipedia.org/wiki/Coup_d'%C3%A9tat


ใครดูข่าว CNN หรือ BBC ช่วง10กว่าวันที่แล้ว จะได้ยินหรือเห็นคำนี้บ่อยมาก แต่เมื่อเค้ารายงานไปบ่อยๆแล้ว จะไม่พูดคำยาวเต็มยศว่า Coup d'état แล้ว เราจะได้ยินแค่ว่า Coup เฉยๆ เป็น "Coup in Thailand" , "Thai Coup" เป็นต้น

"Anti-Coup" อ่านว่า แอนไท(แอนทิ่)-คู แปลตรงตัวได้ง่ายๆ เพราะ anti แปลว่า ต่อต้าน

ไหนๆก็เข้าเรื่องศัพท์ทางการเมือง เรามาดูกันอีก3คำดีม๊ายยยยย ~ 

"Martial Law" อ่านว่า "มาเชียล ลอ" แปลว่า กฏอัยการศึก

"State of Emergency" อ่านว่า "สเตจ ออฟ อีเมอเจนซี่" แปลว่า สถาณการณ์ฉุกเฉิน 

"Civil War" อ่านว่า "ซิวิ้ล-วาร์(วอร์}" แปลว่า สงครามกลางเมืิอง 

คิดว่าคงไม่ต้องอธิบายความแตกต่างระหว่าง Coup d'état/Martial Law/State of Emergency/Civil War นะคับ เพราะว่าลิงน้อย มิได้จบรัฐศาสตร์มาเน้อออ เพราะฉะนั้น ขอผ่าน เอาแค่คำอ่านภาษาอังกฤษที่ถูกต้องก้อพอแล้วเน๊อะ แต่ถ้าอยากรู้ จะอธิบายให้ฟังในเม้นก็แล้วกันนะ ~ ^_^

ติดตาม "คุณขอมา (Requested Topic)" ได้ที่