Sunday, October 12, 2014

แนะแนวข้ามทวีป : High School Love On

แนะแนวข้ามทวีป : High School Love On

ระหว่างรอผู้หวังดีมาแนะนำหัวข้อในการเขียนคอลั่มแนะแนวข้ามทวีปแบบจ๊าบๆ จะหน้าไมค์หลังไมค์ก็เถอะ ขอพี่เริ่มมหากาพย์ลิงพูดไม่หยุดด้วยการย้อนเวลากลับไปสมัยพี่อยู่ม.ปลายก่อนก็แล้วกันนะ นับเป็นกี่ปีแล้วนี่ที่จบมา!? 20กว่าปีแล้วโอ้วโน -_-

ชีวิตม.ปลายของพวกพี่สมัยก่อนต่างจากของพวกน้องๆสมัยนี้แน่นอนล้านเปอเซนต์ สมัยนี้น้องๆมีทั้ง iPhone 6, iPad เลขอะไรแล้วหว่า!? สุดจะไฮเทค สมัยพวกพี่ต้องนี่เลย Pager รู้จักม๊ายยยยย!? เปล่า พี่ไม่ได้จะมาเขียน Pros and Cons* ของวัยรุ่นสมัยปี 2538 กับ 2557 หรอกน้อง มิบังอาจ ดูชื่อตอนก่อน "High School Love On" นี่ บ้านใครมีช่อง KBSWolrd จะร้องอ๋อ อิอิ ใครนั่งอยู่ในห้องเรียนวันนั้นที่พี่ไป ถ้าจำกันได้ก่อนพี่จะออกจากห้องเรียนไป พี่ทิ้งคำพูดไว้ว่าอะไร ระลึกชาติด่วน ~

ชีวิตสมัยม.ปลายของพี่ ต้องขอสารภาพว่า 80% เพลง+เพื่อน 20% เรียน ครบแล้ว100% ใครที่คิดว่า แนะแนวข้ามทวีปตอนนี้ "High School Love On" จะเป็นตอนรักๆฉบับสงครามนางฟ้าสมัยยังเด็ก ผิดและ!? ตั้งแต่เด็กยันโต พี่ก็ยังคง 80% นั้นอย่างเหนียวแน่นมาก น้องๆคนไหนเริ่มมีความรักปิ๊งๆฟรุ๊งฟริ๊งแล้วก็นะ พี่พูดได้คำเดียว "โชคดีนะน้อง" ~

High School Love On เป็นความรักของเพื่อน ความรักบริสุทธิ์แบบเพื่อนๆกัน จะผิดเพศไม่ผิดเพศแต่คือพวกเราเพื่อนกันรักกัน สมันนั้นไม่เหมือนสมัยนี้ตรงที่ทุกคนยังบริสุทธิ์อยู่!!! อ่ะน้องงงง กรุณาอย่าคิดไปไกลเดี๋ยวเพจพี่ติดเรท -_- บริสุทธิ์ในที่นี้คือจิตใจบริสุทธิ์ สังคมสิ่งแวดล้อมที่บริสุทธิ์ ไม่ค่อยมีสิ่งชักนำอะไรไปในทางเสียๆมากซะเท่าไหร่เหมือนสมัยนี้ วันๆมีแต่เรื่องมาโรงเรียน เรียนไม่เรียนเรื่องนึง(ฮาาาาา) แต่คือมาโรงเรียน เลิกเรียนแล้วไปไหน!? กลับบ้านเปลี่ยนชุดออกมาแว๊นสนามจันทร์ กินนมเย็นร้านตี๋หน้าองค์พระ โอยยยย สวรรค์ น้องๆวัยรุ่นยุคนี้ ทำอะไรกัน!? พี่หล่ะสงสัยมากกกกกก ~

น้องจะทำอะไรก็ทำไป แต่สิ่งที่น้องควรทำที่สุดคือ "เรียนให้จบ" เรียนยังไงก็ได้ ให้จบ เกรดอะไรก็ได้ ให้จบ อย่าได้คิดทิ้งการเรียน พี่เป็นหนึ่งในวัยรุ่นไทยหลายแสนคน(!?)ที่ไม่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไร รู้อย่างเดียว ชอบภาษาอังกฤษมาก อะไรก็ได้ขอให้เป็นภาษาอังกฤษ แล้วก็ชอบดนตรีมาก ติดเพื่อนมาก ส่วนคนที่รู้มาแต่เกิดเลยว่าโตขึ้นจะเป็นหมอ เป็นนักบิน ต่อเลยวิทย์-คณิตพวกนี้ พี่ขอนับถือจากใจจริง คนที่ไม่รู้อะไรเลย ขอให้เดินต่อไป เพราะน้องๆเชื่อมั๊ย ยังไงซะ วันนึง น้องต้องเป็นอย่างนึงนั่นแหละ หนึ่งในนั้น คือไม่พ้นเป็นแม่ของลูก เป็นหญิงโสดบ้างาน เป็นคนมุ่งมั่นเรียนจนถึงปริญญาเอก อะไรพวกนี้ มันจะขึ้นมาตามเวลาและโอกาสของแต่ละคน ข้อแม้มีอยู่ข้อเดียว "เรียนให้จบ" ~

พี่ไม่เก่งเลข มี trauma* (อ่านว่า ทรอม่า) มาจากสมัยเด็กๆ อาจารย์สอนเลขสมัยประถมไม่ค่อยมีความสุขกับชีวิตเท่าไหร่ ดุมาก เอะอะก็ตี ตะคอกเด็ก เรียนเลขแล้วไม่สนุกไม่มีความสุข จิตตก พี่เลยขยาดเลย ถึงขนาดยอมทิ้งความฝันว่าอยากเป็น Psychiatrist (นักจิตวิทยา) แค่เพราะว่าต้องเรียนเลขหลายวิชามาก แค่นั้นเอง ก็เพราะไม่เอาเลขเลยนี่แหละ เลยต้องมาลำบากอาจารย์เกรียงไกรสมัยนั้น เพราะพี่และเพื่อนๆอีกหลายคนอยู่ที่เลือกมาเรียนศิลป์ภาษาเพื่อหนีเลข เด็กห้อง 4/5 สมัยนั้นมีไม่ถึงครึ่งห้องที่เจิดจรัสด้านภาษาฝรั่งเศสและเอาจริงเอาจังที่จะเรียน แต่ไม่ได้หมายความว่าที่เหลือไม่เรียนนะ ทุกคนเรียน เพราะไม่มีใครรู้ว่าจริงๆแล้วตัวเองจะเป็นอะไร ไปทางไหน พี่ถึงเน้นน้องๆมาก ว่าให้เรียน เรียนไป เรียนยังไงก็ได้ "ให้จบ" ~

ตอนสอบพูดตัวต่อตัวกับอาจารย์เกรียงไกร จำไม่ได้แล้วว่า ตอนนั้นอยู่ชั้น 4/5, 5/5, หรือ 6/5 แต่พี่จำได้แม่นมากพอถึงตาพี่ เข้าไปที่ห้องพักครู อาจารย์เกรียงที่ดูจะมึนกับการสอบเพื่อนๆพี่ก่อนหน้านี้มาแล้วหลายคน เจอหน้าพี่ อาจารย์ไม่เริ่มการสอบพูด อาจารย์ถามคำเดียว "เธอมีอะไรในหัวเธอบ้าง ยัยศุลีมาศ" พี่ลิงคนซื่อ ตอบอย่างฉะฉาน "il fait beau" "Tres Bian" "Tres Mal" จบข่าว :D จำแม่น อาจารย์เกรียงคงไม่ไหวและ ไอเด็กพวกนี้ มันอะไรกัน เอาไป เกรด 0 เกือบยกห้อง ฮาาาาาาาาาา เป็นความทรงจำที่บริสุทธิ์มาก ณ สมัยนั้น วันที่พี่ไปเยี่ยมอาจารย์วันนั้น พี่ถึงถามอาจารย์เกรียงไปว่า น้องๆที่เลือกมาเรียนศิลป์ฝรั่งเศสนี่หนีเลขมาหรือมาเรียนภาษาฝรั่งเศสกันจริงๆ แต่ถึงน้องจะหนีมาหรือมาเรียนจริงๆ ประโยคเด็ดของพี่ในวันนี้คือ "เรียนอะไรยังไงก็ได้ ขอให้เรียนให้จบ" ~

อ่ะ มาเข้าเรื่องกัน!? ใช่ เข้าเรื่อง ที่พูดมาทั้งหมดนี่ แค่เกริ่นหน่ะน้องงงง อ่านไหวมั๊ยมหากาพย์ลิงพูดไม่หยุด!?

High School Love On เป็นเรื่องที่พี่อยากจะพูดถึงเรื่องเพื่อนๆที่น้องคบอยู่ จะชวนกันเรียน ชวนกันเล่นก็เถอะ คบกันดีๆ รักกันๆมั่นคง อย่าทำร้ายกัน เพื่อนๆพวกนี้อาจจะไม่อยู่กับน้องไปจนจบมหาวิทยาลัยไปจนถึงชีวิตช่วงทำงานและแต่งงานมีลูก จะมีอยู่แค่2-3คนหรือกลุ่มเล็กๆที่น้องๆ *keep in touch* กันเองหลังเรียนจบแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไป20กว่าปี น้องๆจะได้กลับมาเจอกันอีกแน่นอน เหมือนที่พี่ๆได้กลับมาเจอกันแล้วรวมตัวกันไปหาอาจารย์ ยังไงต้องมีเพื่อนคนนึงที่คิดรวมตัว เชื่อพี่ (ไอปุ้ม แกได้เครดิตไป ตลอดชีวิต จบนะ) แล้วเมื่อน้องได้กลับมาเจอกันอีก น้องจะรู้เลย ไอ้เรื่องราวทั้งหลายแหล่สมัยม.ปลาย จะดีหรือร้าย มันคือความทรงจำที่มีค่ามากที่สุด น้องหาไม่ได้แล้วแหละ พี่บอกตรงๆ เพราะฉะนั้น กรูณาใช้ชีวิตช่วงม.ปลายให้คุ้มค่า เกิดประโยชน์สูงสุดกับตัวเองและคนอื่น อย่าให้เหมือนชีวิตวัยรุ่นคนญี่ปุ่นและเกาหลีนะ เราคนไทย ไม่ใช่ญี่ปุ่น และเกาหลี

อ่าวเฮ้ยเพ่!? ทำไมต้องพาดพิงประเทศเพื่อนบ้าน!? ก็เพราะว่าระบบการศึกษาของพวกเค้า มีการแข่งขันกันสูงมาก มากจนกระทั่ง moral* ไม่มี (ในบางประเทศ) พูดให้ตายยังไง คนไทยก็ดีที่สุด แค่คนไทยไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีดี แค่นั้นเอง ตอนพี่อยู่เอแบค เพื่อนสนิทพี่เป็นคนญี่ปุ่น เค้าพูดเองเลยว่า เค้าแปลกใจ เด็กไทยทำไมแชร์ความรู้กัน ช่วยกันติวก่อนเข้าห้องสอบ ที่ญี่ปุ่นไม่มีนะ ต่างคนต่างเรียน รู้อะไรมาไม่บอกเพื่อนด้วย เดี๋ยวเพื่อนได้คะแนนเยอะกว่า!? 2-3 ปีก่อนจบเอแบค เพื่อนสนิทพี่เป็นคนเกาหลี เป็นเพื่อนเกาหลีคนที่ 2 หลังจากเคยเห็นคนเกาหลีครั้งแรกในชีวิตสมัยอยู่ออสเตรเลีย เพื่อนสนิทต่างชาติพี่มีเยอะ มาเองทุกช่วงของชีวิต ไม่รู้มาได้ไง แต่ยังไงก็ทำให้พี่ได้เรียนรู้เยอะมากถึงทั้งวัฒนธรรมความเป็นอยู่ความนึกคิดของเพื่อนแต่ละชาติ ถ้าถามว่ารู้เยอะสุดชาติไหน ขอตอบว่าญี่ปุ่นกับเกาหลี

วันนั้นพี่เพิ่งบอกอาจารย์เกรียงไป ว่าประเทศเกาหลีขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลกด้านระบบการศึกษาดีเด่นไปแล้ว ไม่ดีเด่นไงไหวคับน้องค้าบบบ เด็กเรียนหนักมากกกกก อ่านหนังสือยันตี 2 ตี 3 ตื่นเช้าไปเรียนต่อ นั่นคือเป็นเรื่องว่าทำไมเกาหลีใส่แว่นเกือบทุกคน แต่มีวัฒนธรรมเกาหลีอย่างเดียวเลยที่พี่ไม่ปลื้มเอามากๆ และหวังใจเอามากๆด้วยว่า พวกเราเด็กไทยจะไม่เป็นแบบนี้ นั่นคือ วัฒนธรรมแบบเล่นพรรคเล่นพวก ภาษาอังกฤษเรียก "Bullying"* ภาษาไทยพื้นบ้านแบบขัดเกลาแล้ว "สุนัขหมู่" ชัดนะ

ตัวพี่เองได้มีโอกาสเข้าไปใกล้ชิดและได้ประสบเรื่องนี้เข้ากับตัวเอง ถึงแม้จะไม่โดนพี่โดยตรง เกิดขึ้นในกลุ่มเพื่อนคนเกาหลีของพี่เอง แต่ขอบอกได้เลยว่าใครที่ชอบ "bullying" คนนี่นะ ชีวิตไม่ประเทือง จิตใจไม่พัฒนา อย่างแรง ใครที่บ้าเกาหลี จะต้องรู้จักละครที่เกี่ยวกับชีวิตนักเรียนหลายเรื่องมากๆที่เกาหลีทำออกมาทุกยุคทุกสมัย (ล่าสุดเรื่อง "School 2013") เป็นละครที่สะท้อนชีวิตนักเรียนเกาหลีอย่างแท้จริง สะท้อนความรุนแรงและการbullyingของคนเกาหลีสุดๆแล้ว ละครไทยที่ทำออกมาแนววัยรุ่น ถ้าสมัยก่อนคือ "น้ำพุ" สมัยนี้คือ "ฮอร์โมน"

ห่วงมากเรื่องนี้ เรื่อง bullying หรือ สุนัขหมู่ เนี่ย น้องต้องจำให้แม่นอย่างนึงนะว่า เราคนไทย เราไม่ใช่เกาหลี เราไม่ทำแบบเกาหลี คนไทยมีจิตใจอ่อนโยน ให้อภัยกัน บอกตรงๆ พี่ไม่แน่ใจเด็กๆสมัยนี้ว่าน้องมีจิตใจเป็นยังไง ยังเคารพนับถือยกมือไหว้ผู้ใหญ่อยู่มั๊ย เดินผ่านอาจารย์ก้มตัวมั๊ย อะไรแบบนี้ เกาหลีไม่มีนะน้อง คนไทยเท่านั้น เป็น signature* และ limited edition* สุดๆแล้ว คำถามคือ พวกน้องจะรักษาความเป็นเอกลักษณ์นี่ได้หรือไม่ พี่ยกให้น้องเป็นคนตัดสินใจ ~

ใครที่รู้และติดตามข่าวเกาหลีอยู่ตลอด จะต้องเคยเห็นข่าวเยอะมาก ว่าน้องๆม.ปลายฆ่าตัวตายหลายคน จากหลายๆโรงเรียนในทั่วทุกมุมของประเทศเกาหลี ขอบอกว่ามีทุกปี สาเหตุหลักของการฆ่าตัวตายคือถูก "bullying" มาจากพวกเด็กเกเรในห้องไม่ก็ในโรงเรียนนั่นแหละ ดูแล้วก็งง เพราะชีวิตพี่ไม่เคยเกิดการ bullying เกิดขึ้น น้องคับน้อง เพื่อนๆที่น้องคบ สำคัญนะ "คบคนพาล พาลไปหาผิด คบบัณฑิต พาลไปหาผล" มันเป็นแบบนั้นจริงๆ แต่พี่ขอต่อให้นิดส์นึง "หากไม่มีบัณฑิตให้คบ ก็จงเป็นบัณฑิตเสียเอง" อยู่มันคนเดียวไป อย่าได้แคร์ (ขอเก็บส่วนนี้ไว้พล่ามในคอลั่ม คำคมวันละนิด จิตแจ่มใส่ : A Quote A Day ก็แล้วกันนะ)

High School Love On นี้จึงอยากจะฝากน้องๆไว้ให้คิด สูตรชีวิตช่วงม.ปลายของพี่ลิง "เรียนให้จบ" + "คบเพื่อนให้ดี" = "มีชัยไปกว่าครึ่ง" นะน้องนะ ~

*Pros and Cons เป็นการเปรียบเทียบถึงข้อดีข้อด้อย(ข้อเสีย)ของอะไรบางอย่าง เช่น Pros and Cons ของการจะซื้อบ้านหรือคอนโดดี เรียนต่อเลยหรือทำงานดี
**คำอธิบายเพิ่มเติม >>>  Pro and Con

*Trauma แปลได้ว่าบาดแผลทางจิตใจ หรือ ความบอบช้ำทางจิตใจ เช่น สมัยเด็กใครเคยติดอยู่ในลิฟท์คนเดียวตอนไฟดับ แล้วกว่าจะคนจะมาช่วย คือนานหลายชั่วโมง มืดก็มืด ร้อนก็ร้อน อะไรจะเกิดก็ไม่รู้ พวกนี้คือถ้ารอดมาได้ มีtraumaแน่นอนในการขึ้นลิฟท์ ไม่ก็ต้องนอนเปิดไฟตลอดเวลา อะไรทำนองนี้นะ
**คำอธิบายเพิ่มเติม >>>  Trauma

*Keep in touch เป็นคำพูดก่อนจะลาจากกันแบบไม่เจอกันในเร็ววันนี้แน่นอน แปลได้ยาวๆเลยว่า อย่าหายการติดต่อไปนะ ต้องติดต่อมาตลอดนะ แบนนั้นคือ Keep in touch.
ตัวอย่าง ในงานเลี้ยงรุ่น เพื่อนๆมากันครบ ขาดเพื่อนไปคนนึง สมมุติชื่อ Sue ก็จะคุยกันว่า นี่เธอๆ ได้ข่าว Sueบ้างมั๊ย ถ้าไม่มีใครรู้เลย ก็จะมีคนพูดว่า "I don't know. I didn't keep in touch with her." ไม่รู้สิ ไม่ได้ติดต่อกันเลย

*moral คือมีศีลธรรมจรรยา คนที่ไม่มี moral คือคนที่ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ถึงแม้ว่าจะทำให้คนอื่นเดือนร้อน ตัวเองก็ไม่สนใจ แบบนี้น่าคบมั๊ย?
**คำอธิบายเพิ่มเติม >>> Moral

*bullying คือการข่มเหงรังแก นี่คือแปลแบบภาษาดิคชันนารี่ แต่ภาษาชาวบ้านคือ สุนัขหมู่
ตัวอย่างชัดมาก เพื่อน3คนคบกันรักกันฉันท์เพื่อน สมมุติชื่อ A,B,C ต่อมา A กับ B ทะเลาะกัน A มาสั่งให้ C เลือกว่าจะคบใคร ถ้าจะเลือกคบ Aต่อ ต้องเลิกคบ B ถ้าจะเลือกคบ B งั้นต้องเลิกคบกับ A ส่วน Bไม่พูดไร ยอมรับและเคารพในการตัดสินใจของ C เพราะตัว B เอง รู้จัก C ผ่าน A ประเด็นคือ A กระทำการ bullying  B โดยการไปก่อกวนทุกวิถีทาง สั่งให้เพื่อนตัวเองทุกคนที่รู้จัก B เลิกคบ B และด้วยเพราะ A ค่อนข้างมีอิทธิพลทางจิตใจอยู่ระดับนึง ทุกคนเลยกลัว จะกลัวด้วยความรักเพื่อนแบบตาบอดไม่ใช้สมองคิดบ้าง หรือกลัวด้วยความกลัวส่วนตัวที่จะต้องอยู่โดยไม่มีความช่วยเหลือของ A ทำให้ทุกคนเลือก A แล้วยอมเลิกคบ B การกระทำของ A คือการ "bullying"
**คำอธิบายเพิ่มเติม >>> bullying

ป.ล. น้องๆคับ มาถึงตอนนี้น้องๆอาจจะเดาได้ว่าพี่นี่แหละคือ C น้องๆคิดว่าพี่ตัดสินใจยังไง!? ... พี่เลือก B คับ และเป็นคนเดียวที่เลือก B ในขณะที่ทุกคนหันหลังให้ B หมด เพราะพี่ไม่ชอบอาการ สุนัขหมู่ อย่างแรง แล้วคนอย่างพี่ไม่กลัวการอยู่คนเดียว พี่มีแนวของพี่ชัดเจนมาก แล้วพี่ก็ไม่สนับสนุนให้ใครแสดงอาการสุนัขหมู่ออกมา มันไม่น่ารักคับน้อง คนจริงต้องไม่ bullying คน คนจริงต้องช่วยคน โกรธกันให้คุยกันดีๆ อย่าทำร้ายกัน น้องต้องอย่าลืมว่า ครั้งนึงพวกน้องเคยเป็นเพื่อนกัน รักกัน มีความทรงจำดีๆร่วมกัน ถ้าจะไม่รักกันแล้ว ขอให้จากกันดีๆ อย่าทำร้ายกัน

*signature แปลว่าลายเซ็น แบบใครจะเซ็นสัญญาซื้อบ้าน รถ ที่ดิน จะมีช่อง signature ให้เซ็นชื่อเราเป็นหลักฐาน
signature แปลได้อีกแบบว่า สัญลักษณ์ หรือ เอกลักษณ์ ยกตัวอย่าง กระเป๋าแบรนด์เนมยี่ห้อ Louis Vuitton ของฝรั่งเศสจะมี signature ที่กระเป๋าเป็นลาย LV นั่นเอง
**คำอธิบายเพิ่มเติม >>> signature

***เน้นว่าลายเซ็นของดารานักร้องนี่ไม่ใช่ signature นะ แต่เป็นคำว่า autograph แปลว่าลายเซ็น ลายเซ็นดารานักร้องเวลาเซ็นให้แฟนคลับนั่นแหละ ใครแจ็คพอตแตกไปเจอดารานักร้องที่ชื่นชอบเดินอยู่ในห้างก็วิ่งไปหาเค้าเลยแล้วบอกว่า "May I have your autograph, please?" ขอลายเซ็นหน่อยได้มั๊ยค๊ะ

*limited edition อันนี้ไม่ต้องอธิบายมาก ทุกคนต้องรู้แน่นอน ว่าคือของบางอย่างที่ทำออกมาจำนวนจำกัดนั่นเอง ซื้อให้ทันนะ เพราะมันเป็น limited edition หมดแล้วหมดเลยยยยยยย ~






No comments: