Friday, April 17, 2015

แนะแนวข้ามทวีป : so-called flight attendant ตอนที่ 9 It's all about the money.

*** Rules&regulations ในการอ่าน "so-called flight attendant ***

1. เรื่องราวทั้งหมดที่เกิด เป็นประสบการณ์ตรงของผู้เขียนที่อยู่ในอาชีพแอร์โฮสเตสมาเป็นระยะเวลา8ปี ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาโจมตีหรือพาดพิงผู้ใดทั้งสิ้น หากแต่เป็นการเขียนเพื่อเป็นวิทยาทานให้รุ่นน้องที่อยากเป็นแอร์โฮสเตส และเพื่อเพื่อนๆผู้รักการอ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้น

2. เนื้อหาและเนื้อเรื่องบางส่วนในบางตอน ไม่สามารถนำไปใช้ได้กับสายการบินอื่นๆในเหตุการณ์เดียวกัน การนำเอาเรื่องราวของผู้เขียนไปเปรียบเทียบ หรือยึดถือเป็นหลักโดยรวมว่าด้วยเรื่องของชีวิตการเป็นแอร์โฮสเตส อาจทำให้ผู้อ่านมีความเข้าใจที่ผิดต่อการเป็นแอร์โฮสเตสในภาพรวมได้

3. กรุณาใช้วิจารณญาณขั้นสูงสุดในการอ่าน เนื่องจากเรื่องราวของผู้เขียนนั้น เกิดขึ้นจากการใช้ชีวิตการทำงานและอยู่อาศัยในประเทศแถบตะวันออกกลางเท่านั้น การจัดการและการบริหารของสายการบินต่างๆในแถบนี้ รวมถึงสายการบินที่เบสในประเทศไทยนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพื่อนร่วมงาน ผู้โดยสาร เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม การเลี้ยงดูในวัยเด็ก จิตสำนึก ความคิด ทำให้ความสามารถในการมองโลก การแก้ปัญหา การแยกแยะผิดชอบชั่วดี มีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ผู้อ่านจึงไม่ควรตัดสินชีวิตใคร แต่ควรพึงเข้าใจ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นไป ล้วนแล้วแต่เป็น "กรรม" ของแต่ละบุคคลเท่านั้น

................................................................


แนะแนวข้ามทวีป : so-called flight attendant ตอนที่ 9 It's all about the money.

มาเข้าเรื่องเงินๆทองๆกันบ้าง จะงานหนักงานเบา งานบนฟ้างานบนดิน ทุกคนต้องได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนหรือเงินค่าจ้างถูกมั๊ย สิ้นปีบริษัทไหนใจดีก็จะมีโบนัสให้พนักงาน ถือเป็นการตอบแทนที่ทำงานหนักกันมาทั้งปี จะมากหรือน้อยก็คือเงิน จะเก็บหรือจะใช้ก็อยู่ที่การวางแผนชีวิตของแต่ละคนจัดการกันไป

หลายคนคิดว่างานแอร์นี่ได้เงินค่าตอบแทนสูง ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ามันสูงจริงๆนั่นแหละ เพราะงานแอร์คืองานเสี่ยง พูดกันแบบตรงๆเลยคือ เสี่ยงเครื่องบินตก เสี่ยงต่อสุขภาพร่างกาย อย่าลืมว่าอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่ ที่ไหน อย่างไร บินๆไปแล้วป่วย หนักถึงขั้นต้องออกจากงาน เงินที่เก็บหอมรอมริบไว้ ก็เอามาใช้รักษาจนหมด นี่คือความเสี่ยงที่มากับค่าตอบแทนที่สูงของงานแอร์

ถามว่าเป็นแอร์เบสไทยหรือเบสนอก(แถบตะวันออกกลาง) ที่ไหนเงินดีกว่ากัน ถ้าให้พี่ตอบให้ตรงคำถามนะ ขอตอบว่าแอร์เบสแถบตะวันออกกลางเงินดีกว่า แต่ไม่ใช่ทุกสายการบินของแถบตะวันออกกลางนะ ต้องขอจำกัดอยู่ที่บางสายการบินเท่านั้น ซึ่งก็คงไม่พ้นสายการบินใหญ่ๆทั้งหลายที่ก็คุ้นหูกันดีอยู่แล้ว พวกสายการบินทั้งหลายที่เห็นลูกเรือเป็น "asset" เนี่ย พี่บอกเลย เงินดี แต่หากสายการบินไหนเห็นลูกเรือเป็นแค่ "number" เงินส่วนที่ควรจะมาให้ลูกเรือ อาจจะมาไม่ถึง โดนระดับบริหารจัดการทั้งหลายรับประทานไปก่อน ซึ่งเรื่องแบบนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติที่ไม่ว่าที่ไหนๆในโลกต้องมีอยู่แล้ว ต้องยอมรับว่ามีทุกที่ทุกวงการ เพราะฉะนั้น ย้ำกันอีกรอบว่าให้หาข้อมูลดีๆก่อนจะตัดสินใจร่วมงานด้วย

ทำไมถึงตอบว่าแอร์เบสแถบตะวันออกกลางเงินดีกว่า แอร์เบสไทยเงินน้อยขนาดนั้นเชียว!? พี่ว่าเอากันจริงๆอาจจะไม่ได้ต่างอะไรกันมากมายขนาดนั้น แต่สิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างในตัวเงินเดือนที่จะได้รับคือ Daily expense (ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน) ทั้งหลายนี่แหละ แอร์เบสไทย อยู่บ้านตัวเอง ไม่ก็เช่าบ้านเช่าคอนโดอยู่ เสียค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์(บ้าน) ค่าน้ำมันรถ อะไรแบบนี้เป็นต้น จ่ายเองหมดถูกมั๊ย ยังไม่พอ เงินเดือนที่ได้มีการหักภาษีด้วยเพราะเบสไทย แต่แอร์เบสแถบตะวันออกกลาง ไม่ต้องจ่ายค่าที่พัก ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์(บ้าน) หรือแม้แต่เสียภาษีอะไรเลย เงินเดือนที่จะได้ เป็นเงินเดือนล้วนๆที่ไม่โดนหักอะไรออกไปทั้งสิ้น

แต่จุดเปลี่ยนที่จะทำให้ดูๆไปแล้ว แอร์เบสไทยจะได้เงินเยอะกว่า ก็ตรงที่การจัดการบริหารการเงินของแต่ละคนนี่แหละ จะเบสไทยเบสนอก หากไม่มีการจัดการบริหารเงินของตัวเองดีพอ ทำที่ไหนก็อาจจะเก็บเงินไม่ได้เลย อันนี้ก็แล้วแต่ "จุดประสงค์" ของการมาเป็นแอร์ของแต่ละคน ก็ว่ากันไป เพราะเท่าที่รู้มา แอร์เบสไทยก็มีทั้งบ้านมีทั้งรถ แถมเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัวอีกต่างหาก 

เพื่อนลูกเรือคนไทยที่อยู่ในแบชเดียวกันกับพี่ มาทำงานเป็นแอร์ที่นี่ 3 ปี พอครบ 3 ปีแล้วลาออกเลย คือเค้ามาเป็นแอร์เพื่อเอาเงินไปจ่ายค่ารถ ค่าประกันอะไรต่างๆให้หมดภายใน 3 ปี เห็นว่ากลับไปก็ไปทำกับบริษัทเก่าที่ลาออกมา แต่ตำแหน่งและเงินเดือนสูงขึ้น นี่คือตัวอย่างของคนที่วางแผนชีวิตดี ขอแสดงความนับถืออย่างแรง มีเพื่อนของเพื่อนลูกเรือชาวบัลแกเรียที่ทำอยู่อีกสายการบินหนึ่งในตะวันออกกลางนี่แหละ เป็นชาวโรมาเนีย เป็นแอร์อยู่ทั้งหมด 6 ปี มาเพื่อเอาเงินไปซื้อคอนโดซื้อรถที่ประเทศโรมาเนียบ้านเกิดเค้า พอผ่อนทุกอย่างหมด เก็บเงินได้ก้อนนึงก็ลาออกกลับไปอยู่ประเทศโรมาเนียเลย เห็นว่าบ่นกับเพื่อนชาวบัลแกเรียว่าเป็น 6 ปีที่ทรมานที่สุดที่อยู่สายการบินนี้ แต่คือทนทำเพราะว่ามีแพลนอนาคตที่แน่นอนอยู่แล้ว น่ายกย่องอีกเหมือนกัน

มาดูข้อได้เปรียบของการเป็นลูกเรือกัน อย่างแรกเลยคือเรื่องตั๋วลดราคา หรือที่เรียกกันว่า "crew ticket" บ้าง "staff ticket" บ้าง หรือ "standby ticket" ก็ได้เหมือนกัน  ตั๋วID90 (ไอดี ไนน์ตี้) เป็นตั๋วราคาแค่ 10% จากราคาจริง คือลดราคาไป 90% นั่นเอง ฟังดูดีแต่ว่าถ้าไฟลท์เต็ม ตั๋วID90 พวกนี้ก็ไม่ได้ไปนะน้อง ตกเครื่องเลื่อนไฟลท์กันให้วุ่นวาย ใครแพลนพักร้อนจองโรงแรมไว้อย่างดี มีอันต้องปวดกระบาล  เพราะถือเป็นตั๋วแสตนบาย ต้องรอเช็คอินทีหลังสุด ต้องมีที่นั่งเหลือเท่านั้นถึงจะได้ไป ถ้าเป็นตั๋ว ID50 (ไอดี ฟิฟทิ่) ถือเป็นตั๋วคอนเฟิร์ม เป็นตั๋วราคา 50% จากราคาจริงนั่นเอง บางสายการบินใจดีให้ตั๋ว ID90 กับครอบครัวด้วย บางสายการบินก็ให้ตั๋ว ID90  กับเพื่อนด้วย คำเรียกของ crew ticket พวกนี้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละสายการบิน บางสายการบินที่ดู premium หน่อย จะเริ่มราคาตั๋วลูกเรือที่ ID75 ไม่มี ID90 ทั้งนี้ แต่ละสายการบินอาจมีคำเรียกตั๋วลูกเรือต่างกัน ไม่ใช่ทั้ง ID90, ID50, และ ID75 แต่โดยรวมแล้วคือเป็นตั๋วลดราคาที่ให้เฉพาะลูกเรือและครอบครัวของลูกเรือนั่นเอง 

มาดูข้อได้เปรียบอย่างที่สองกัน เป็นเรื่องของการซื้อของใน Duty Free ต่างๆทั่วโลก เพราะจะได้รับส่วนลดไป10-15% เมื่อซื้อสินค้าต่างๆใน Duty Free รวมไปถึงร้านอาหารต่างๆที่อยู่ในสนามบิน(ขาออก)ด้วยเช่นกัน ถ้าน้องอยู่ในชุดแอร์โฮสเตส แบบนี้ลดเลยไม่ต้องบอก แต่ถ้าวันไหนเกิดเดินทางเป็นผู้โดยสารธรรมดาขึ้นมา ก็เอาบัตรประจำตัวแอร์โฮสเตสหรือที่เรียกกันสั้นๆว่า ไอดี (ID) ยื่นเพื่อขอรับส่วนลดได้ สำหรับบางสนามบิน จะลดให้เฉพาะลูกเรือที่อยู่ในเครื่องแบบเท่านั้น ถ้ามาในชุดเดินทางธรรมดานี่ไม่ลดให้ แต่สำหรับที่ไทย สนามบินสุวรรณภูมิ ลดให้ทั้งที่อยู่ในเครื่องแบบและไม่อยู่ในเครื่องแบบ เพียงแค่แสดงบัตรประจำตัวลูกเรือแค่นั้นเอง

ข้อได้เปรียบอย่างที่สามนี้ ต้องขอพูดถึงการได้รับส่วนลดในการซื้อเหล้าและบุหรี่ จำกัดอยู่ที่อาทิตย์ละ 1 ครั้งต่อลูกเรือ 1 คน ซึ่งใน 1 อาทิตย์นี้ ลูกเรือสามารถซื้อเหล้าได้ 1 ขวด บุหรี่ได้ 200 มวน หรือ 10 ซอง ใครที่รักในการทำธุรกิจที่เรียกกันว่า "รายได้เสริม" ก็จะมีชีวิตที่วุ่นวายวิ่งซื้อของพวกนี้ทุกอาทิตย์หลังจากกลับจากบิน หนักๆเข้า อยากได้ของอีก แต่ยังไม่ครบ 1 อาทิตย์ที่ตัวเองจะซื้อได้ ก็จะไปขอให้เพื่อนลูกเรือคนอื่นๆช่วยหิ้วให้หน่อย ในที่นี้คือให้ช่วยถือออกมาจาก custom หรือ ตม. นั่นเอง อะไรแบบนี้คือติดใจ "รายได้เสริม" ที่ได้มาง่ายๆกับการเป็นแอร์ 


แต่บางที "รายได้เสริม" พวกนี้ ก็กลายเป็นยาเสพติด ที่ไม่ทำไม่ได้ รู้สึกชีวิตไม่ตื่นเต้น มีหลายเคสมากที่ลูกเรือโดน ตม. จับ เสียค่าปรับกันไป ร้ายแรงหน่อยก็อาจจะถูกให้ออกจากงาน เพราะดันไปถูกจับในประเทศที่เคร่งอย่างอังกฤษ หรือแถบยุโรปบางประเทศ เค้าบอกไว้ชัด เอาบุหรี่เข้าได้กี่มวนกี่ซอง เหล้าเข้าได้กี่ขวดกี่ลิตร แต่ก็ยังมีลูกเรือหัวใสลักลอบเอาเข้าไปมากกว่าที่เค้ากำหนด เพียงแค่ว่าจะได้ "รายได้เสริม" เพิ่มขึ้นมาแค่ไม่กี่พันบาท แลกกับอนาคตงานแอร์ มันใช่เรอน้อง!? 

ลูกเรือบางคนที่ติดใจการซื้อเหล้าซื้อบุหรี่ ที่รอให้ครบ 1 อาทิตย์ไม่ได้ จะซื้อไปขายต่อ หรือเอาไปเติมบาร์เหล้าที่บ้านตัวเองเพื่อรอจัดปาร์ตี้สุดสวิงทุกวีคเอนท์ก็เถอะ พวกนี้จะคอยถามลูกเรือในไฟลท์ว่า วันนี้ยูซื้อเหล้า/บุหรี่ไปยัง ถ้ายังงั้นช่วย "declare" ให้ไอหน่อยนะ การ declare คือการแสดงตัวต่อ custom (ต.ม) ว่าเรามีเหล้ามีบุหรี่มา 

***ใครคุ้นๆเวลาจะเดินออกจากสนามบินหลังจากได้กระเป๋าตัวเองแล้ว จะมีช่องทางออก 2 ช่อง คือช่องสีแดง เป็นช่องที่มีของบางอย่างที่ต้องแสดง (declare) ต่อเจ้าหน้าที่ตม. กับช่องสีเขียว คือไม่มีของที่ต้องแสดง เดินออกไปได้เลย แต่บางทีช่องสีเขียว เค้าก็มีการตรวจเอกซ์เรย์กระเป๋าของเราก่อนออกนะ เป็นการตรวจเช็คแบบ random คือสุ่มตรวจ ใครมีของที่ควรจะเดินไปออกช่องแดง แต่มาออกช่องเขียวนี่ก็แจ็คพอตกันไปนะ ***

การให้ช่วย declare เหล้า/บุหรี่ของลูกเรือนี่ ทำกันเป็นธรรมเนียม เพราะลูกเรือทุกคนมีสิทธิ์ซื้อ ถ้าน้องไม่ใช้สิทธิ์ ก็จะมีคนมาช่วยน้องใช้สิทธิ์ ออกแนวบังคับขู่เข็นให้ช่วย ทำไมหล่ะ ไหนๆยูก็ไม่ได้ใช้สิทธิ์แล้ว ก็ช่วยไอหน่อยไม่ได้หรือไง พี่เคยโดนถามบ่อยมากช่วงแรกๆที่บิน คนยังไม่รู้จักแนวเรา แต่หิ้วเหล้าหิ้วบุหรี่เนี่ยนะ พี่ไม่ต้องคิดมาก ปฏิเสธโลด เพราะไม่ใช่แนวพี่ ปฏิเสธไปมากๆเข้า คนเริ่มถาม ทำไมไม่ช่วย ยูเป็นมุสลิมเหรอ? เคร่งเหรอ? พี่ก็งง เอ้า ถ้าคนเป็นมุสลิมเค้าไม่หิ้วกัน แล้วยูหิ้วทำไมเนี่ย!? ยูไม่ได้เป็นมุสลิมเรอ!? จบข่าว พี่เคยเจอแม้กระทั่งกัปตันบางคนเดินมาบอกแกมบังคับให้หิ้วให้ พี่มองหน้าแล้วตอบอย่างมั่นใจ "over my dead body" ชัดนะ เดี๋ยวนี้ไม่เห็นมีใครมาถามเลย มองหน้าก็รู้แล้วว่า "ข้ามศพชั้นไปก่อนนะ" 


ข้อได้เปรียบที่พี่จะขอกล่าวถึงเป็นอย่างสุดท้าย ยังคงอยู่ในเรื่องของคนชอบค้าขาย เพราะการเป็นแอร์ จะได้ไปตามประเทศต่างๆทั่วโลก ธุรกิจ "การหิ้วของ" ที่ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าแบรนด์เนม รองเท้า เครื่องประดับ อะไรทั้งหลายแหล่ จะหิ้วให้เพื่อนให้ญาติพี่น้องให้ครอบครัว ให้ "คนรู้จัก" หรือหิ้วกลับไทยไปใส่ร้านค้าเล็กๆน้อยๆของตัวเอง ก็เป็นอีกหนึ่งใน "รายได้เสริม" ที่มากับงานแอร์เช่นกัน 

สมัยตอนพี่เทรนแอร์ใหม่ๆ มีการเตือนกันถึงเรื่อง "หิ้วของ" ให้กัน Instructor สมัยนั้นบอกเลยว่าห้ามเด็ดขาด จะหิ้วให้ใครก็ห้ามเด็ดขาด เพราะมันมีกรณีกันมาแล้ว ประเภทยัดยา หรือของผิดกฏหมายทั้งหลายแหล่ ไม่มีใครตอบได้หรอกว่าเราจะแจ็คพอตเมื่อไหร่ พี่เข้าใจ ว่า "รายได้เสริม" เป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญสำหรับลูกเรือบางคน จะช่วยเรื่องการเงินของที่บ้าน หรือจะเอาเงินไปใช้ส่วนตัว หรือจะทำเพื่อความตื่นเต้นเร้าใจให้ชีวิต หรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าคิดจะทำ ขอให้แน่ใจ ว่าของที่ขนที่หิ้วให้หน่ะ ปลอดภัยจากสิ่งผิดกฏหมาย จะเอาเข้าประเทศไหน ควรศึกษารายละเอียด custom ของประเทศนั้นให้ดีๆ อะไรขนได้ อะไรขนไม่ได้ ข้อจำกัดในการขนมีแค่ไหน ถ้าน้องคิดจะหัวไส ขอให้แพลนให้ดีๆ อย่าให้โดนจับได้ เสียชื่อ เสียงาน ทำให้ที่บ้านเป็นห่วง แบบนี้พี่ไม่แนะนำ อย่างแรงงงงงง ~

ขึ้นชื่อว่า "เงิน" มันไม่เข้าใครออกใคร แต่จะทำยังไงไม่ให้เงิน มาปิดปาก ปิดตา ปิดหู แล้วทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ส่งผลร้ายต่อทั้งตัวเองและผู้อื่นนั้น ขึ้นอยู่ที่ตัวเองตัดสินใจทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น "Good luck everybody" กลับมาเจอกันตอนหน้า กับ แนะแนวข้ามทวีป : so-called flight attendant ตอนที่ 10 What time is it? 

>>> แนะแนวข้ามทวีป : so-called flight attendant ตอนที่ 10 What time is it? <<<





.................................................................................................................


>>> แนะแนวข้ามทวีป : Introduction <<<
>>> แนะแนวข้ามทวีป : High School Love On <<<
>>> แนะแนวข้ามทวีป : Better Planet VS. Better Kids <<<
>>> แนะแนวข้ามทวีป : What's next? <<<


"so-called flight attendant" ตอนที่ 1 How? 
"so-called flight attendant" ตอนที่ 2 How come?

"so-called flight attendant" ตอนที่ 4 Hello Middle East 

"so-called flight attendant" ตอนที่ 5 Back to School 

"so-called flight attendant" ตอนที่ 6 I believe I can fly 




Thursday, April 9, 2015

Welcome on board : ตอนที่ 1 Are you Ready?

***โปรดทำความเข้าใจก่อนอ่าน***

1. "Welcome on board" จัดทำขึ้นมาโดยคำแนะนำของอาจารย์เกรียงไกร ทองชื่นจิต อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาต่างประเทศของโรงเรียนราชีนีบูรณะ จ.นครปฐม เพื่อเป็นสื่อการเรียนการสอนเพิ่มเติมด้านวิชาภาษาอังกฤษให้กับทางโรงเรียนราชีนีบูรณะ จ.นครปฐม และสำหรับบุคคลที่สนใจทั่วไป ห้ามมิให้ทำการดัดแปลง ตัดต่อ หรือเพิ่มเติมเนื้อหาโดยไม่ได้รับอนุญาต


2. Safety Demo ชุดนี้ จัดทำโดยสายการบิน Virgin America ผู้เขียนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดทำหรือตัดต่อใดๆทั้งสิ้น หากเพียงแต่นำมาเป็นข้อมูลใช้ในการเขียนเพื่อให้ความรู้ในเรื่องของการบินเท่านั้น


3. อุปกรณ์นิรภัยและทางออกในกรณีฉุกเฉินที่เห็นใน 
Safety Demo ชุดนี้ ใช้ได้เฉพาะเครื่องบินรุ่นที่สายการบิน Virgin America  ใช้บินเท่านั้น ผู้อ่านควรให้ความสนใจในการดู safety demo ทุกครั้งที่บินกับสายการบินอื่นๆ เนื่องจากแต่ละสายการบินนั้นใช้เครื่องบินต่างรุ่นกัน ทางออกฉุกเฉินรวมไปถึงอุปกรณ์นิรภัยต่างๆที่ใช้ในยามฉุกเฉินนั้นอาจไม่เหมือนกัน

4. ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าผู้อ่านจะได้เกร็ดความรู้ไม่มากก็น้อยทั้งในเรื่องของภาษาอังกฤษและความรู้ทั่วไปในเรื่องของการบิน ทั้งนี้ทั้งนั้น ขอให้ผู้อ่านทุกท่านที่ต้องเดินทางไป-กลับโดยเครื่องบิน มีความราบรื่นและปลอดภัยตลอดการเดินทาง "Safe flight always" ~


....................................................................................




ใครกดดู Safety Demo แล้วบ้าง? ดูแล้วถ้าไม่โยกหัวก็เคาะเท้าตามนี่ถือว่าไม่มีดนตรีในหัวใจนะ ... อ่ะ ล้อเล่นนนน!? ต้องยอมรับว่าสายการบิน Virgin America มีความคิดสร้างสรรค์บวกกับความรักในเสียงเพลงอย่างมาก ถึงขนาดทำ Safety Demo ออกมาเป็นเรื่องเป็นราว เรียกความสนใจให้ผู้โดยสารบนไฟลท์ได้มากมาย ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ไม่มีใครปฏิเสธเสียงเพลงได้หรอกถูกมั๊ย ดูกี่ครั้งๆก็ไม่น่าเบื่อด้วย แถมเนื้อหาก็เข้าใจได้ง่าย ไม่ต้องเข้าใจภาษาอังกฤษมากก็สามารถดูเอาจากภาพแล้วทำความเข้าใจเองได้ไม่ยาก 

ก่อนจะเข้าเนื้อหาทั้งหมด พี่แนะนำให้พวกเราดูคลิบนี้หลายๆรอบ พยายามอย่าเลื่อนสายตาลงไปดูที่คำบรรยายภาษาอังกฤษด้านล่าง ให้ลองฟังเองก่อน ผ่านไปซัก 3 รอบเป็นอย่างต่ำ แล้วค่อยลงไปดูว่าเนื้อเพลงที่เราได้ยินนั้น ที่จริงแล้วเค้าร้องว่าแบบนี้ออกเสียงแบบนี้นี่เอง นี่คือสำหรับคนที่ยังฟังภาษาอังกฤษไม่ค่อยออกหรือไม่ค่อยเข้าใจว่าเค้าพูดหรือร้องว่าอะไร ไม่ต้องกลัว พี่บอกเลย พี่พูดภาษาอังกฤษได้เพราะมาจากการฟังเพลงตั้งแต่เด็กนี่แหละ หนังสือหนังหาไม่ค่อยได้สนใจเท่าไหร่(กรุณาอย่าทำตามในเรื่องนี้ ให้อ่านหนังสือของน้องต่อไป) เอาแต่ฟังเพลงภาษาอังกฤษเพราะชอบมาก อยากให้น้องๆที่อยากเก่งภาษาอังกฤษเริ่มจากการฟังเพลงหรือดูหน้งให้มากๆ อย่าลืมว่าคนเราเกิดมา พูดได้ก่อนที่จะเขียนหนังสือได้อีกนะ ตามนั้น

Welcome on board ตอนที่ 1 Are you ready? จะเริ่มตั้งแต่นาทีที่ 0.00 ไปจบที่นาทีที่ 0.53 เนื้อเพลง(Lyrics)ของตอนนี้ มีอยู่ว่า 


I got some safety tips that you gotta know. And trust me it’s something that you wanna hear.
So honey zip your lips and enjoy the show before we move into the stratosphere.
So won’t you…Whoo
Buckle your seatbelt, put it on tight and keep your…Whoo
In that chair until we turn off that light. Turn your electrical devices off as fast as you can.
(And whatever you do) Don’t make me ask you again.

**So tonight, get ready to fly ‘cuz we’re gonna live it on up in the sky.
Virgin America knows all the places you wanna be.
Fly away with me, fly away with me, yeah**


บอกก่อนว่า เนื้อเพลงที่ใช้ในวีดีโอนี้ถูกแต่งขึ้นมาเพื่อให้สอดคล้องกับทำนองเพลงและเนื้อหาที่เกี่ยวกับความปลอดภัยต่างๆเวลาโดยสารโดยเครื่องบินเท่านั้น อาจมีคำศัพท์ที่ออกแนวเป็นกันเองนิดหน่อย อย่างเช่น gotta" (got to),  "wanna" (want to) , "gonna" (going to) พี่ไม่แนะนำให้น้องๆเอาคำย่อพวกนี้ไปเขียนในรายงานวิชาภาษาอังกฤษส่งอาจารย์ หรือในจดหมายสมัครงานเด็ดขาด
ขอไม่แปลเป็นไทยทั้งหมด แต่จะขอเข้าเรื่องเลย เนื้อเพลงในตอนนี้ พูดถึงการเริ่มเรื่องการเข้าสู่การสาธิตการใช้อุปกรณ์นิรภัย รวมทั้งทางออกในกรณีฉุกเฉิน ( Safety Demo) โดยที่มีการเกริ่นบอกผู้โดยสารเอาไว้ก่อนว่า ให้ตั้งใจดูวีดีโอนี้ดีๆ รัดเข็มขัดนิรภัย(seatbelt) แล้วก็ปิดโทรศัพท์มือถือซะ ตามที่พี่ได้ highlight ตัวหนาเอาไว้ทั้งหมด 7 คำในตอนที่ 1 นี้ จะเป็น 7 คำที่พี่จะเอามาขยายให้พวกเราได้ทำความเข้าใจกัน ดังนี้

safety tips 

คำว่า safety นี่พี่คงไม่ต้องพูดอะไรมาก เพราะแปลได้ว่า "ความปลอดภัย" ที่จะเน้นคือคำว่า tips ซึ่งในที่นี้ แปลได้ว่า "เคล็ดลับ" รวมกันแล้ว Safety tips จึงแปลว่า "เคล็ดลับความปลอดภัย" นั่นเอง  ใครที่อ่านออกเสียงคำว่า Tip แล้วเกิดคำถามขึ้นมาว่า ใช่คำว่า "ทิป(ติป)" ที่เราใช้เวลาที่จะให้เงินทอนแก่พนักงานเสริฟทั้งหลายในร้านอาหารหรือแม้แต่คนขับแทกซี่ก็ตาม หรือเปล่า? ถูกต้องแล้ว มันคือ Tip คำเดียวกันนี่แหละ

พี่ขออ้างอิงคำว่า Tip ตามนี้นะ >>> Tip

ถ้าน้องลองอ่านดูทั้งหมด จะเห็นว่า Tip นั้นแปลได้หลายอย่างมากมาย แต่มีอยู่ 1 ตัวอย่างในนี้ที่พี่ขอเอามาขยาย "Don't forget to tip the porter for carrying your luggage." แปลได้ว่า "อย่าลืมให้ทิปพนักงานยกกระเป๋า(ของโรงแรม)ที่มาช่วยยกกระเป๋าของคุณนะ" ที่เลือกตัวอย่างนี้มาเพราะว่ามีธรรมเนียมเล็กๆน้อยๆของลูกเรือเกือบจะทุกสายการบิน ที่เวลาบินไปพักที่โรงแรมไหนๆก็ตามในโลก ส่วนใหญ่จะรวบรวมเงินเล็กๆน้อยๆ เรียกได้ว่าเป็นสินน้ำใจเล็กๆน้อยๆให้กับ porter (พนักงานยกกระเป๋าของโรงแรม) นั่นเอง บางโรงแรมไม่มีคนยกให้ ลูกเรือก็ต้องยกกันเอง ลากกันเข้าไป check-in ในโรงแรมกันเอาเอง แบบนี้เป็นต้น บ้างก็ใส่ tip ในซองจดหมาย บ้างก็ใส่ในแก้วกาแฟกระดาษตามแต่จะหากันได้ สายการบินพี่เวลาทำไฟลท์ไปกรุงเทพ ขาออกจากกรุงเทพนี่พวกพี่รวบรวมเงินกันแบ่งเป็น 2 ซองนะ ใจดีมั๊ย!? ซองนึงให้ พี่ๆporterของโรงแรม อีกซองนึงให้พนักงานขับรถลูกเรือที่ขับไปส่งพวกพี่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ  2 ซองนี่เฉพาะ Bangkok destination นะ ไม่เคยเห็นลูกเรือให้ 2 ซองกับ destination อื่นมาก่อนเลย ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ฮาาาาาา

safety tips เติม s เพราะว่าไม่ได้มีแค่ tip เดียวที่จะบอก แล้วก็ไม่ได้ใช้กับคำว่า safety ได้อย่างเดียว แต่ใช้กับคำอื่นๆได้ด้วย เช่น "cooking tips" เคล็ดลับการทำอาหาร, "beauty tips" เคล็ดลับความสวยงาม เป็นต้น

zip your lips

คำว่า zip แปลตามที่น้องๆคิดกันแว่บแรกว่า ซิป นั่นแหละถูกต้องแล้ว ถ้าใช้ zip เป็นคำนาม ก็จะหมายถึงตัวซิปที่พวกเราใช้รูดขึ้นลงเวลาใส่เสื้อแจ๊คเก็ตหรือเวลาปิดเปิดกระเป๋า ถ้าซิปแตก พูดได้ว่า "The zip is broken." ถ้าใช้ zip เป็นคำกริยา จะแปลได้ว่า "ปิด" ในที่นี้ "zip your lips" จึงแปลตรงตัวภาษาไทยได้ว่า "ปิดปาก" แต่อย่าไปแปลอะไรให้มันไม่เข้าหูเลย ความหมายของสิ่งที่เค้าต้องการจะสื่อในวีดีโอตัวนี้คือ ให้เราหยุดพูดกับคนข้างๆ หยุดคุยโทรศัพท์ แล้วตั้งใจดูตั้งใจฟังวีดีโอตัวนี้มากกว่า

น้องๆผู้ชาย มีบ้างที่เข้าห้องน้ำเสร็จแล้วลืมรูดซิปกางเกง พอเดินกลับเข้ามาที่ห้องเรียน น้องๆผู้หญิงสังเกตุเห็น ก็จะเตือนว่าลืมรูดซิปนะ พูดแบบสั้นๆขำๆได้ว่า "zip it up" หรือเข้ารูปประโยคไปเลยก็ได้ว่า "You forgot to zip it up." นายลืมรูดซิปกางเกงหน่ะ การพูดบอกอะไรพวกนี้ไม่ได้ตายตัว ไม่จำเป็นต้องพูดประโยคนี้ พูดอะไรก็ได้ที่ความหมายเดียวกันอย่าง "The zip is open." ยังได้เลย เอาเต็มๆประโยคมั๊ย แบบเพื่อนกันพูดกัน "
Zip up your pants friend, it's open."

Stratosphere

แปลว่าชั้นบรรยากาศของโลก เวลาที่เครื่องไต่ระดับขึ้นไปสูงๆที่อย่างต่ำ30,000 feet แน่นอนว่าระดับความดันและอากาศบนนั้นไม่เหมือนกับตอนอยู่ข้างล่างแน่นอน คำแนะนำบางตอนในวีดีโอนี้จะสามารถช่วยผู้โดยสารได้เวลาเกิดเหตุฉุกเฉินเมื่ออยู่บนฟ้านั่นเอง

ใครเห็นคำนี้แล้วนึกถึงไปถึงคำว่า atmosphere บ้าง? Atmosphere แปลว่า บรรยากาศ บรรยากาศรอบโลก อากาศ คล้ายกับ Stratosphere ตรงที่มีคำว่า บรรยากาศ เหมือนกัน แต่ Stratosphere เน้นเลยว่าเป็นเรื่องของบนฟ้า ที่อยู่บนฟ้า Atmosphere ใช้ได้ทั่วไป อย่างเวลาที่เราต้องการจะบรรยายความรู้สึกถึงสถานที่ๆเราไปหรือเราอยู่ นึกถึงบ้านหลังใหญ่สีขาว ภายในห้องโถงใหญ่มีตู้หน้งสือตั้งเป็นกำแพง มีโซฟาน่านั่ง โคมไฟดีไซน์สวยเก๋ กลางห้องเป็นเปียโนสีดำหลังใหญ่ ให้ความรู้สึกผ่อนคลายสบายตา อะไรแบบนี้จะพูดได้ว่า "I like the atmosphere of this living room." เป็นต้น สมมุติไปเที่ยวที่เมืองๆนึง ทั้งเสียงและควันรถ ขยะเต็มพื้นถนน ผู้คนไม่ยิ้มแย้ม อะไรแบบนี้ "I don't like the atmosphere of this city." คือไม่ชอบบรรยากาศโดยรวมของเมืองนี้นั่นเอง

Buckle

ถ้าเป็นคำนาม Buckle จะแปลว่า หัวเข็มขัด, กระดุม ถ้าเป็นคำกริยา Buckle จะแปลว่า รัดเข็มขัด, ติดกระดุม ในวีดีโอเค้าบอกให้ "Buckle your seatbelt" คือให้รัดเข็มขัดนิรภัยนั่นเอง พูดได้อีกแบบว่า "Put your seatbelt on"

***Note:- คำว่า seatbelt เขียนได้ทั้ง seatbelt, seat belt, และ seat-belt ***

"Put on ....." หรือ "Put .... on" นี่มีอะไรให้เล่นเยอะกว่า Buckle เสียอีก "Put on" แปลได้ง่ายๆว่า "ใส่" จะใส่อะไรก็ว่ากันไป เวลาใช้ "Put on" จะใช้ ติดกันเลยหรือแยกกันเป็น "Put ..... on" ก็ได้ ความหมายเดียวกัน

- Put your shoes on ใส่รองเท้าซะ
- It's -7 degrees outside so don't forget to put on your coat. ข้างนอกอากาศลบ7องศาแหน่ะ อย่าลืมใส่เสื้อโค้ทด้วยนะ

Turn off

แปลว่า ปิด ใช้ได้กับปิดไฟ ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้า ปิดเครื่องมืิออิเล็คโทรนิกส์ต่างๆ คืออะไรก็ได้ที่ต้องใช้ไฟฟ้า เวลาจะปิด ใช้คำว่า "turn off" เวลาจะเปิด ใช้คำว่า "turn on"

Can you turn on the TV? 
Can you turn it off?
Turn off your phone. 
You can turn it on now

หลักการใช้ก็เหมือนเดิม จะ "turn on the TV" หรือ "turn the TV on" จะ "turn off your phone" หรือ "turn your phone off" ความหมายเดียวกัน

ในวิดีโอเค้าบอกว่า in that chair until we turn off that light คือให้เรานั่งอยู่กับที่จนกว่าสัญญาณไฟรัดเข็มขัดจะดับลงนั่นเอง

Get ready 

คือเตรียมตัวให้พร้อม Get ready to fly คือเตรียมตัวพร้อมบิน ในฐานะผู้โดยสารคือนั่งรัดเข็มขัด(seatbelt) ปิดมือถือ เก็บกระเป๋าให้เรียบร้อย Get ready to work คือเตรียมตัวไปทำงาน ออกแนวอาบน้ำแต่งตัวนั่นเอง Are you ready? พร้อมยัง? I am ready. พร้อมแล้ว

ที่จะต้องขยายคือคำว่า Get นี่แหละ >>> Get

Get ภาษาไทยเอามาใช้ว่า เกทมั๊ย? คือเข้าใจมั๊ยนั่นเอง Do you get what I am saying? คุณเข้าใจที่ชั้นพูดมั๊ย 

อยากไล่ใครออกไปจากพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง ใช้ "Get out"
ใครไปเที่ยวผับ เปิดเพลงไม่โดนใจวัยรุ่น พูดเลย "Let's get out of here." ไปจากที่นี่กันเถอะ คือไปหาผับใหม่เปิดเพลงจ๊าบกว่า

ยูๆ มีไฟลท์กรุงเทพใช่มั๊ย ฝากซื้อมาม่ารสต้มยำหน่อยสิ "Ok, I'll get it for you."

พ่อแม่ต้องการจะต้อนลูกๆให้ขึ้นไปบนรถ ก็พูดได้ว่า "Get in there"

ตัวอย่างของ "get out of hand" ที่แปลว่าเกินกว่าจะควบคุมได้ นึกถึงตัวอย่างที่ CSM brief ลูกเรือก่อนไปบินมั๊ยว่าถ้าผู้โดยสารเริ่มพูดไม่รู้เรื่อง ให้เรา walk away ออกมาเลย ในที่นี้คือ "When the situation gets out of hand, walk away from there." นั่นเอง

เห็นมั๊ยว่า get ใช้ได้เยอะมากกกกกกก นี่ยังไม่หมดนะ แต่พี่เริ่มจะมึนแล้ว ฮาาาาา ลองอ่านๆเอานะในลิงค์ที่พี่แปะให้ ถ้าจะให้พูดเรื่อง get ทั้งหมด สงสัยคงต้องเปิดคอลั่มใหม่นะถึงจะเอาอยู่ อ้อ!!! ใครตาดีไปเจอคำที่แบบ PG 18+ (Parental Advisory) ในลิงค์นี้แล้วคิดจะมาถามพี่ละก็นะ ขอหลังไมค์นะน้อง หน้าไมค์อันตราย อนาคตของชาติทั้งนั้นแถวนี้

ส่งท้ายกับคำว่า get ถ้าอยากให้ใครออกไปไกลๆ ไปจากชีวิตตัวเอง วุ่นวายดีนัก ตามจีบไม่เลิกรา แซวไม่เลิกที สร้างความรำคาญให้ชีวิตสุดๆ อะไรแบบนี้พูดออกไปเลยว่า "Get lost" แรงนิดหน่อยแต่ชัดเจนดี บางทีพี่ก็เอามาพูดเล่นกับเพื่อนสนิทคนต่างชาติหน่ะ ต้องสนิทมากๆนะ ไม่งั้นไม่ขำนะบอกไว้ก่อน งานนี้มีงอน



Fly away

เป็นคำที่บอกให้รู้ว่าบินออกไปจากตรงนั้น เพราะคำว่า away มาต่อท้ายนี่แหละ ถ้า fly เฉยๆคือแค่ บิน แต่บินเมื่อไหร่ไปไหนไม่รู้ I'm flying to Bangkok tonight จะบินไปกรุงเทพคืนนี้

มาดูคำว่า Away กันดีกว่า ตามนี้เลย >>> Away

แปลรวมๆแล้วได้ใจความว่าออกไปจากตรงนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเอาไปต่อท้ายคำกริยาตัวไหนแค่นั้นเอง ไม่พอใจใครก็ใส่เลย "Go away" ไปให้พ้นๆไป ความหมายแรงนิดส์นึง เอาแบบสุภาพๆหน่อยก็ "Leave me alone, please." ขอฉันอยู่คนเดียวได้มั๊ย 

ก่อนจะขึ้นบินทุกครั้ง พวกพี่จะต้องเข้าห้อง briefing room ก่อน คือคล้ายๆห้องประชุมนี่แหละ ลูกเรือในไฟลท์นั้นๆจะมานั่งอยู่รวมกัน หัวหน้าลูกเรือก็จะ brief บอกลูกเรือถึงรายละเอียดของไฟลท์นั้นๆ อาจมีการ highlight หรือเน้นเป็นพิเศษในบางเรื่องสำหรับบางไฟลท์ อย่างถ้าบินไปแถบที่เค้ากำลังรบกัน แบบนี้ก็จะเตือนให้ลูกเรือคอยระวังเป็นพิเศษ ใครจะขึ้นมาบนเครื่องต้องมี ID ดูว่าขึ้นมาทำอะไร แบบนี้เป็นต้น

มีบ้างบางไฟลท์ที่จะมีผู้โดยสารที่เรื่องเยอะ ออกแนวพูดไม่รู้เรื่อง คอยแต่จะหาเรื่องลูกเรืออยู่ตลอดเวลา CSM ก็จะบอกเลย ถ้าเริ่มคุยไม่รู้เรื่อง ให้เรา "walk away" คือให้เดินออกไปจากตรงนั้นซะ แล้วให้ลูกเรือคนอื่นเข้ามาจัดการแทน เพราะไม่ใช่ทุกคนจะจัดการกับปัญหาตรงหน้าได้ บางทีเปลี่ยนคนเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตำแหน่งแล้ว เรื่องอาจจะดีขึ้นก็เป็นได้ 

ใครฟังเพลงภาษาอังกฤษบ่อยๆ พวกเพลงรักๆเลี่ยนๆ อาจจะได้ยินเนื้อร้องที่ว่า "Don't walk away from me" คือ อย่าเดินออกไปจากฉันนะ หรือ อย่าไปจากฉันนะ ก็ได้เหมือนกัน

มาดูข้อสอบภาษาอังกฤษกัน

1. When should you turn your phone off?


a. After take off
b. When you feel like it.
c. As fast as you can after boarding the aircraft.

2. When the safety demo is on, what should you do?


a. Talking on the phone.
b. Reading newspaper
c. Pay fully attention to the safety demo

3. After take off, when should you move from the seat?


a. When the seatbelt sign is on.
b. When the seatbelt sign has turned off.
c. When you feel like it.


อย่างง่ายยยยย ทุกคนตอบได้พี่เชื่อ "When you feel like it" แปลได้ว่า รู้สึกอยากทำเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละ อ่ะติสต์กันไป ไม่ควรนำมาใช้บนเครื่องบินนะค๊ะ ~ 

ตอนแรกพี่ขอเบาๆไปก่อนนะ เพราะภาษาอังกฤษขยายไปได้เยอะมาก ตกหล่นตรงไหนหรืออยากรู้ตรงไหน รีเควสมาได้ พี่มาขยายให้ได้แน่นอน เดี๋ยวมาต่อตอนหน้า ตอนที่ 2 Put your seat belt on

>>>  Welcome on board ตอนที่ 2 Put your seat belt on <<<


 Safety Demo by Virgin America
Video Credit : Virgin America 



......................................................................................................

Welcome on board : Introduction