Sunday, February 22, 2015

แนะแนวข้ามทวีป : "so-called flight attendant" ตอนที่ 7 Who do you think you are?

***Rules&regulations ในการอ่าน "so-called flight attendant"***

1. เรื่องราวทั้งหมดที่เกิด เป็นประสบการณ์ตรงของผู้เขียนที่อยู่ในอาชีพแอร์โฮสเตสมาเป็นระยะเวลา8ปี ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาโจมตีหรือพาดพิงผู้ใดทั้งสิ้น หากแต่เป็นการเขียนเพื่อเป็นวิทยาทานให้รุ่นน้องที่อยากเป็นแอร์โฮสเตส และเพื่อเพื่อนๆผู้รักการอ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้น

2. เนื้อหาและเนื้อเรื่องบางส่วนในบางตอน ไม่สามารถนำไปใช้ได้กับสายการบินอื่นๆในเหตุการณ์เดียวกัน การนำเอาเรื่องราวของผู้เขียนไปเปรียบเทียบ หรือยึดถือเป็นหลักโดยรวมว่าด้วยเรื่องของชีวิตการเป็นแอร์โฮสเตส อาจทำให้ผู้อ่านมีความเข้าใจที่ผิดต่อการเป็นแอร์โฮสเตสในภาพรวมได้

3. กรุณาใช้วิจารณญาณขั้นสูงสุดในการอ่าน เนื่องจากเรื่องราวของผู้เขียนนั้น เกิดขึ้นจากการใช้ชีวิตการทำงานและอยู่อาศัยในประเทศแถบตะวันออกกลางเท่านั้น การจัดการและการบริหารของสายการบินต่างๆในแถบนี้ รวมถึงสายการบินที่เบสในประเทศไทยนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพื่อนร่วมงาน ผู้โดยสาร เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม การเลี้ยงดูในวัยเด็ก จิตสำนึก ความคิด ทำให้ความสามารถในการมองโลก การแก้ปัญหา การแยกแยะผิดชอบชั่วดี มีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ผู้อ่านจึงไม่ควรตัดสินชีวิตใคร แต่ควรพึงเข้าใจ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นไป ล้วนแล้วแต่เป็น "กรรม" ของแต่ละบุคคลเท่านั้น

................................................................

แนะแนวข้ามทวีป : "so-called flight attendant" ตอนที่ 7 Who do you think you are?

ปิดโหวตตตต!!! จัดให้ตามขอ กับหัวข้อที่ได้คะแนนมากที่สุด "Who do you think you are?" ส่วนหัวข้อที่ได้คะแนนรองลงมา "A War Zone" กับ "It's all about the money" จะจัดให้เป็นตอนที่ 8 และ 9 ตามลำดับนะ แตร๊งกิ้วเพื่อนๆทั้ง 3 คนที่ร่วมโหวต ลิงปลื้มมมมม เรื่องที่จะเขียนจะเล่า มีเยอะเข้าขั้นมหากาพย์อย่างที่เคยบอกไว้ในตอนที่ 1 ยังไงก็ค่อยๆอ่านค่อยๆติดตามกันไปนะ เท่าที่สังเกตุดู อาทิตย์นึงจะจัดมาลงซักตอนนึง เพราะติดบินเลยมานั่งปั่นให้ได้อ่านกันเฉพาะวันหยุด แต่ถ้าวันไหนมีบินแต่ลิงเกิดบ้าพลังขึ้นมา ก็มาจัดให้ได้อีกเหมือนกัน ยังไงก็ต้องกราบขอบพระคุณมิตรรักแฟนเพจทั้งหลายที่คอยให้การสนับสนุนทั้งทางตรงทางอ้อมและทางเงียบไว้ ณ ที่นี้ด้วย

งานแอร์นี่นะ ถือเป็นงานที่ต้องเจอผู้คนมากที่สุดในการทำงาน 1 วัน จะมากขนาดไหน ลองมานับกันดูเล่นๆดีกว่าว่าใน 1 วันของการบินนี่ พวกพี่จะต้องเจอคนทั้งหมดกี่คน เรามาไล่กันจากบินเครื่องเล็กกันก่อน ผู้โดยสารทั้งลำ 136 คน ไป-กลับรวมแล้ว 272 คน ในที่นี้คือถ้าไฟลท์เต็มทั้งไปทั้งกลับ รวมไปถึงเพื่อนลูกเรือและนักบินที่ร่วมชะตากรรมไฟลท์นั้นๆอีก 6-7 คน  เครื่องขนาดกลาง ผู้โดยสารทั้งหมด 169 คน บวกเพื่อนลูกเรือและนักบิน 6-8 คน ถ้าเป็นเครื่องใหญ่ รวมผู้โดยสารทั้งลำก็ 214 คน รวมเพื่อนลูกเรือและนักบินด้วยก็อีก 11 คน 

***อย่าลืมว่าแต่ละสายการบินเลือกใช้เครื่องบินต่างรุ่นกัน แบ่ง cabin ไม่เท่ากัน โหลดลูกเรือขึ้นไปทำงานจำนวนไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้น ขึ้นไปอ่านใหม่ดีๆ ว่าทำไมพี่ถึงต้องเขียน Rules&regulations ในการอ่าน "so-called flight attendant ขึ้นมา***

เมื่อได้เวลา board ผู้โดยสารแล้ว ลูกเรือจะได้ยิน PA (Public Announcement) คือประกาศที่ใช้บนเครื่องไว้ให้ลูกเรือ และผู้โดยสารได้รับทราบข้อมูลโดยถ้วนหน้ากัน) ว่า "Crew to Boarding position" เอาแบบสั้นๆ "Crew to Boarding" เอาสั้นกว่านี้มั๊ย แบบว่า CSM ขี้เกียจพูดมาก เลยพูดว่า "Boarding" ยังมีการพูดอีกแบบที่ออกแนวฮาแตก เรียกเสียงหัวเราะของลูกเรือได้มากเลยทีเดียว PA ที่ว่านี้คือ "Enemies are here" แปลเป็นไทยๆได้ว่า "ข้าศึกบุก"!!!~ ขำๆนะ อย่าได้ซีเรียส เพราะเป็นเวลาเดียวที่ลูกเรือจะยิ้มได้ ก่อนจะเข้าสู่ช่วงสงครามในไฟลท์นั่นเอง!?

ช่วงเวลา boarding นี่นะ เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่ง "Love at first sight" หรือ รักแรกพบ เดี๋ยวๆ อย่าหลงไปไกลคิดว่าจะเขียนเรื่องรักๆอะไรแถบนี้ NO NO NO ไอ้ "Love at first sight" นี่นะ ไม่ได้เกี่ยวกับความรักอะไรเลย แต่มันคือ "First impression" (ความประทับใจครั้งแรก) ที่พวกพี่จะสร้างให้กับผู้โดยสาร และตัวผู้โดยสารสร้างให้กับพวกพี่ด้วยนั่นเอง อย่าคิดว่าไม่สำคัญนะ พี่บอกให้เลย ไฟลท์นั้นๆจะดีหรือแย่ อยู่ที่ช่วง boarding นี่แหละน้อง น้องต้องรู้ไว้อย่างนึงว่า คนเรามีชีวิตต่างกัน คิดต่างกัน อะไรหลายๆอย่างต่างกัน อาจจะเพิ่งเจอเรื่องร้ายๆหรือดีๆมาก่อนขึ้นเครื่อง ขึ้นไปไล่ดูใหม่ดีๆ ว่าแต่ละเครื่องมีผู้โดยสารทั้งลำกี่คน ตัวเลขนั้นหน่ะ คือตัวเลขของเรื่องราวทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นบนไฟลท์นั้นๆ เพราะอะไร เพราะทุกคนในที่นี้ถือว่า "Unique" หมด ไม่เว้นแม้แต่ลูกเรือไฟลท์นั้นๆ 

ผู้โดยสารคนนึง บินมาไกลจากอเมริกา 15 ชั่วโมง ต้องมาต่อเครื่องเพื่อไปต่อ เดินขึ้นเครื่องมาเจอ CSM รอรับอยู่ด้วยรอยยิ้มที่ฉีกไปถึงหูพร้อมกับคำทักทายว่า "Hello, welcome on board. How are you today?" พูดเสร็จก็ฉีกยิ้มอีก แบบนี้ พี่ขอถามว่า น้องคิดว่าผู้โดยสารคนนี้ตอนนี้รู้สึกอย่างไร? เดินต่อเข้าไปในตัวเครื่อง เจอลูกเรือยืนอยู่ 1 คนทางฝั่งขวา และ อีก 1 คนทางฝั่งซ้าย ที่นั่งของผู้โดยสารคนนี้อยู่ทางฝั่งซ้าย จึงเดินตรงไปยังที่นั่ง แล้วก็ได้รับการทักทายพร้อมรอยยิ้มเหมือน CSM เป๊ะ แถมยังพาไปถึงที่นั่งด้วย พี่ขอถามอีกว่า น้องคิดว่าผู้โดยสารคนนี้ตอนนี้รู้สึกอย่างไร? เพราะเดินเข้าตัวเครื่องมาก่อน เลยนั่งมองอะไรเพลินๆ สายตาพลันไปเห็น ลูกเรือที่ยืนอยู่ฝั่งขวา ยืนกอดอกเฉยๆ มองผู้โดยสารแต่ละคนหัวจรดเท้า ไม่ทักไม่ทาย ไม่พาไปหาที่นั่ง คือยืนเป็นรูปปั้นนางแอร์อยู่ตรงนั้นแหละ สาธุ ได้คำตอบนะ ว่า "First impression" ของผู้โดยคนนี้ที่มีต่อลูกเรือที่ยืนอยู่ฝั่งขวานั้น เป็นอย่างไร? 

ในทางกลับกัน เวลาพวกพี่ยืน board ผู้โดยสารขึ้นเครื่อง พี่บอกได้เลยว่า "Experienced Crew" หรือ ลูกเรือที่บินมานานๆไม่ต่ำกว่า 4 ปี สามารถมองผู้โดยสารแล้วบอกได้เลยว่า คนนี้ "Troublemaker" (ตัวปัญหา) หรือไม่ ขนาดนั้นกันเลยน้อง พี่ถึงต้องเริ่มเรื่องด้วยการบอกจำนวนผู้โดยสารที่พวกพี่ต้องเจอในแต่ละวัน บินอย่างมาก 7 วันติดกัน(สายการบินอะไรเนี่ยยยยย!?) บินอย่างน้อย 3-4 วัน ใครเก่งเลขแถวนี้ ช่วยบวกเลขหน่อย อาทิตย์นึงเจอผู้โดยสารกี่คน เดือนนึงกี่คน ปีนึงกี่คน!? ความ "unique" ทั้งหลายของทั้งผู้โดยสารและเพื่อนลูกเรือที่เราได้พบได้เจอทุกครั้ง เรื่องซ้ำๆย้ำๆที่ทำให้ประโยคที่ว่า "ไม่มีอะไรใหม่ใต้ท้องฟ้าใบนี้" นั้นเป็นจริงขึ้นมาได้ไม่ยากเลย พวก "Trick" (กลลวง) ทั้งหลายที่ผู้โดยสารจะเอามาใช้กับพวกพี่ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร พูดแบบไหน แค่ผู้โดยสารเอ่ยมา พวกพี่ก็รู้กันไปถึงไหนต่อไหนแล้วน้อง ว่าผู้โดยสารคนนี้ต้องการอะไร เคสแบบนี้ขอสงวนเอาไว้ใช้สำหรับผู้โดยสารที่ไม่น่ารักทั้งหลายนะ คนดีๆไม่เกี่ยว เพราะพวกพี่จริงๆแล้ว รักผู้โดยสารทุกคน ฮาาาาาาาาาาาา

ใครอ่านความคิดลิงออกบอกมานะ!!!~ "Who do you think you are?" นี้ ต้องการจะสื่อความหมายไปในทางไหน? พี่ต้องการสื่อออกมา 3 ความหมาย มาดูกันว่าจะตรงตามที่คนหัวไวแถวๆนี้คิดไว้หรือป่าว

เคสแรก จากใจผู้โดยสาร ถึง ลูกเรือ "Who do you think you are?"

เคสนี้ไม่ค่อยหนักเท่าไหร่ แต่จะเจอเยอะมากตามไฟลท์ไปอินเดีย/ปากีสถาน เพราะอะไร!? ก่อนจะอ่านต่อ พี่ขอติดแท็กก่อน ***Parental Advisory ผู้ปกครองควรให้คำแนะนำ*** ใครอายุไม่ถึง18+ อย่าได้อ่านคนเดียว ควรเรียกผู้ปกครองมาให้คำแนะนำด้วย เพราะสิ่งที่พี่จะเขียนให้อ่านนั้น ฟังๆดู อาจจะออกแนว "racist" (เหยียดผิว) นิดส์ๆ ถ้าน้องไม่อ่านให้ดีๆใช้วิจารณญาณให้ดีๆ น้องอาจจะมองไม่เห็นสิ่งที่พี่ต้องการจะสื่ออย่างแท้จริงก็เป็นได้ ใครมีญาติเป็นแอร์เบสอยู่แถบตะวันออกกลาง ให้ลองไปถามดูว่าจริงมั๊ย ลูกเรือเจอบ่อยมากกับปัญหานี้ ปัญหาที่ว่าคือผู้โดยสารที่แสดงอาการ "Who do you think you are?" (เธอคิดว่าเธอเป็นใคร?) กับลูกเรือ 99.99% ของผู้โดยสารที่จะทำแบบนี้ เป็นผู้โดยสารเชื้อชาติอินเดีย/ปากีสถาน แต่อพยพไปอยู่อเมริกาหรืออังกฤษนั่นเอง ความพิเศษของผู้โดยสารชนิดนี้ คือเป็นพวกที่คิดว่าตนเองด้อยอยู่ตลอดเวลา เลยต้องประกาศให้โลกรู้ ว่าฉันนี่นะ "British Passport" , "American Passport" นะเธอรู้มั๊ย พี่เจอเคสนี้ทีไร เพลีย และไม่เข้าใจอย่างมากว่า เกิดเป็นอินเดียเป็นปากีสถานแล้วมันผิดตรงไหน!? เป็นบริทิช เป็นอเมริกันแล้วมันดีตรงไหน!? งง อย่าง แรงงงงงงงงงงงงงง

น้องจะรู้ได้เองว่าเจอผู้โดยสารชนิดนี้แล้ว 1. สำเนียงอเมริกัน/อังกฤษจ๋าาาา (แนะว่าให้ฟังเค้าพูดให้ตลอด ฟังนานๆ แล้วจะรู้ว่าเค้าจะกลับไปสำเนียงบ้านเกิดเองเมื่อเค้าเหนื่อย) 2. เวลาเสริฟอาหาร พวกพี่เสริฟให้บนโต๊ะกินข้าวอย่างดี แต่เวลาพวกพี่มาเก็บถาด มันจะลงไปอยู่ที่พื้น 3. มักจะนั่งอยู่แถวแรกๆของขั้นประหยัด

พูดถึงข้อ 2 แล้วก็ขอเล่าถึงลูกเรือไทยใจกล้าหาญคนนึง ขอเรียกว่าน้อง K ไฟลท์นี้บินไปเมืองลาฮอ ประเทศปากีสถาน เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว น้องคนนี้ไปเสริฟอาหารแถวแรก ขากลับมาเก็บถาด ถาด 3-4 ถาดพวกนี้ถูกกองกันระเนระนาดที่พื้น น้องคนนี้ไม่ก้มลงไปเก็บ แต่หันไปเก็บถาดของฝรั่งที่นั่งอยู่ทางซ้าย ผู้โดยสารฝั่งขวาเห็นก็โวยขึ้นมาว่า "ยู เก็บถาดด้วยนะ อยู่ที่พื้นหน่ะ" น้อง K ตอบไป "ช่วยหยิบถาดขึ้นมาด้วยค่ะ" อ่ะ เข้าแผนของการประกาศอิสระภาพของผู้โดยสารชนิดนี้กันเลยทีเดียว He โวยวายเสียงดังแล้วพูดว่า "มันเป็นงานของยู งานเก็บถาด ยูต้องเก็บมันขึ้นมาเอง!!!" น่านนนนน รู้จักคนไทยน้อยไป เพลงชาติไทยก็บอกอยู่ "ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด" น้อง K ยืนตัวตรง หันไปมองผู้โดยสารคนนี้แล้วพูดว่า "ขอโทษนะค๊ะ ตอนเสิรฟอาหาร ดิฉันมั่นใจว่าเสริฟคุณบนโต๊ะ ไม่ได้เสริฟให้คุณทานบนพื้นนะค๊ะ กรุณาหยิบถาดขึ้นมาด้วยค่ะ" ผู้โดยสารโมโหหน้าแดง แล้วตอบว่า "ยูรู้มั๊ย ไอหน่ะนะ "American Passport" เชียวนะ!!! ส่วนเธอหน่ะเป็นแค่แอร์เก็บถาดอาหาร!!!" โอ้ววววว ต่อยกันมั๊ยเพ่ (อันนี้พี่ลิงเติมเอง) น้อง K ตอบฉะฉาน "ใช่เหรอค๊ะ ผู้โดยสารท่านนี้ (ผายมือไปยังฝรั่งฝั่งซ้าย) ก็เป็นอเมริกันเหมือนกัน แต่เค้าทานอาหารเสร็จบนโต๊ะ ไม่ใช่ที่พื้นนะค๊ะ" ฝรั่งคนนี้ได้ยินแล้วถึงกับหัวเราะออกมาไม่หยุดเลยทีเดียว จบข่าวววว น้อง K คนนี้ ปัจจุบันนี้ไม่ได้เป็นแอร์แล้ว ลาออกไปแต่งงานมีลูกตัวน้อยๆแล้ว 

ไหนๆก็ตบหัวแล้ว พี่ขอลูบหลังนิดส์นึงนะ ว่าไม่ใช่ผู้โดยสารทุกคนจะเป็นแบบนี้ บอกเลยว่าเปอร์เซนต์ดีกับไม่ดีมี 50-50 เท่ากัน กับผู้โดยสารเชื้อชาติอินเดีย/ปากีสถานที่ถือ "British Passport" หรือ "American Passport" คนที่ดีก็ดีใจหาย อย่างกับออกมาจากวังท่านชายพจน์บ้านทรายทอง(เกิดทันมั๊ย!?) สุภาพ ดูดี อ่อนน้อม ถ่อมตน ไปอยู่อเมริกาอังกฤษแล้วรับแต่สิ่งดีๆเข้ามา แบบนี้น่าชื่นชม มาถึงตอนนี้ น้องๆอาจจะเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ถึงต้องเขียน Rules&regulations ในการอ่าน "so-called flight attendant ข้อที่ 3 ขึ้นมา?

เคสที่สอง จากใจลูกเรือ ถึง ผู้โดยสาร "Who do you think you are?"

เคสนี้ใครเป็นลูกเรือ อ่านแล้วจะบอก YES!!!~ จะอยู่ cabin ไหน ชั้นธุรกิจหรือชั้นประหยัด ไม่ว่าจะไฟลท์ไหน จะต้องมีผู้โดยสารอย่างน้อย 1 คน ที่ทำให้พวกพี่อยากจะพูดออกไปเหลือเกินว่า "Who do you think you are?"

ก่อนจะอ่านพารท์นี้ กรุณาขึ้นไปอ่านใหม่ดีๆถึงตัวเลขผู้โดยสารที่พวกพี่ต้องเจอใน 1 วัน 1 อาทิตย์ 1 เดือน 1 ปี เคสที่เจอทุกครั้งเมื่อตอน board ผู้โดยสารขึ้นเครื่อง คือการยกกระเป๋าผู้โดยสารเก็บขึ้นไปไว้ที่ overhead stowage (ที่เก็บกระเป๋าเหนือศรีษะ) พี่ไม่แน่ใจสายการบินอื่น แต่สายการบินพี่ ไม่อนุญาติให้ลูกเรือยกกระเป๋าเก็บให้ผู้โดยสาร น้อง พวกพี่ไม่ใช่ Iron Man นะ ที่จะยกกระเป๋าขึ้นเก็บให้ทุกคนทุกวันทุกไฟลท์ โดยที่หลังไม่เป็นอะไรเลย คำถามง่ายๆเลยคือ ถ้าผู้โดยสารยกขึ้นเองไม่ได้เพราะหนักมาก แล้วพวกพี่จะยกได้ยังไง!? เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องบอบบาง เพราะมันเกี่ยวกับ Customer Service โดยตรง สายการพี่เลยบอกเลย ให้ "assist" คำว่า assist คือช่วยผู้โดยสารยก ไม่ใช่เรายกคนเดียว ผู้โดยสารบางคน เหมือนขนมาทั้งบ้านทั้งตู้เซฟ กระเป๋าหนักมาก หนักขนาดที่ว่า Iron Monkey อย่างพี่ ยังไม่ยกเวทหนักขนาดนี้เลย พี่บอกเอาไว้ตรงนี้เลยว่า กับบางสายการบินหน่ะ ไม่มีประกันให้นะถ้าหลังเราเป็นอะไรขึ้นมา ถึงแม้จะในหน้าที่ก็เถอะ บางสายการบินหน่ะ ต้องพูดกันตรงๆ ว่าถ้าลูกเรือเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา คิดคำนวณขึ้นมาแล้วสายการบินจะต้องเสียเงินเยอะ เค้าจะไม่รับผิดชอบเราเลย ปล่อยเราลอยแพเลย พวกสายการบินแบบนี้เห็นลูกเรือเป็นแค่ "number" ไม่ใช่ "asset" ที่ควรค่าแก่การรักษา จบนะ

พี่เจอบ่อยไป ผู้โดยสารชั้นธุรกิจ ลากกระเป๋า Cabin Bag ขึ้นมา ยี่ห้อดังๆทั้งนั้น แต่ไม่สามารถยกขึ้น overhead stowage เองได้ แล้วก็วางไว้ตรงทางเดินนั่นแหละ ขอฉันนั่งกด iPhone 6 กับ Samsung 5 เล่นเพลินๆ อ่ะ คุณแอร์โฮสเตส ช่วยยกขึ้นไปหน่อยซิ แอร์คนไหนไม่กล้ามีปากมีเสียง ก็ยอมเอาอนาคตสันหลังตัวเองมาแลกกับการยกกระเป๋าพวกนี้ แอร์คนไหนมีหลักการดีๆ จะพูดเลยว่า "Let me assist you with the bag." เน้นแรงๆตรงคำว่า assist คือพูดให้ผู้โดยสารรู้ตัวว่า เราจะไม่ยกคนเดียว แต่จะช่วยผู้โดยสารยกกระเป๋าขึ้นไปพร้อมกัน แอร์คนไหนฉลาดเป็นกรด ก็จะเดินหนีเลย ไปเรียกลูกเรือผู้ชาย หรือกราวสต๊าฟที่เป็นผู้ชายแล้วอยู่แถวนั้นพอดี ให้มาช่วยยก แต่พี่บอกเลย เรื่องกระเป๋าเนี่ย ไม่มีใครอยากยกขึ้นไปคนเดียวนะ เพราะถ้ามันหนัก อันตรายมาก ถ้าระหว่างยกแล้วพลาดหล่นลงมาโดนมือเราหัก หรือโดนขาเราแพลง ไม่คุ้มอย่างแรงงง ของในกระเป๋าที่เสียหายหน่ะ มีเงินก็ซื้อใหม่ได้ แต่หลังเนี่ย หักแล้วหักเลย ต่อให้มีเงินล้นฟ้าแค่ไหน ก็ต่อหลังให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้นะ

พี่ขอดักความคิดบางคนในที่นี้ไว้ก่อนว่า ลูกเรือหน่ะนะ มี common sense พอสมควรเรื่องยกกระเป๋า ในที่นี้คือ ถ้าเป็นผู้โดยสารสูงวัยตายายเดินทาง นั่งรถเข็น แม่ลูกอ่อนเดินทางคนเดียว คนป่วย อะไรแบบนี้ พวกพี่ช่วยแน่นอนไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ แต่ถึงพวกพี่จะช่วย พวกพี่ก็ไม่ยกขึ้นคนเดียวถ้ามันหนัก ยังไงก็ต้องขอให้เพื่อนลูกเรือมาช่วยกันอยู่ดี เข้าใจตามนี้นะ

เคสที่สาม จากใจลูกเรือ ถึง ลูกเรือ "Who do you think you are?"

มาถึงตอนสำคัญ เพราะตอนนี้คือที่มาของหัวข้อ "Who do you think you are?" นี่แหละน้องงงงงงง ได้เวลาเล่าประสบการณ์ตรงของแท้ที่มาจากตัวพี่เองไม่ผ่าน case study ใดๆทั้งสิ้น พี่ขอออกตัวไว้ ณ ที่นี้ก่อนว่า พี่เติบโตมากับปู่กับย่านะ ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ เพราะฉะนั้นพี่รักและเคารพผู้หลักผู้ใหญ่มาก อีกอย่างพวกเราคนไทย มีขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีที่ดีงามเรื่องการเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่มีชาติไหนในโลกแล้วนะเป็นแบบนี้ เกาหลีที่พี่บ้านักบ้าหนาก็ยังเทียบกับของไทยไม่ได้ตรงนี้นะ บอกไว้ก่อนเลย

ไฟลท์ที่เจอผู้สูงวัยมากที่สุด หลักๆไม่พ้นไฟลท์ที่เข้า-ออก เจ้ดด้า ประเทศซาอุดิอะเรเบีย, ลาฮอ ประเทศปากีสถาน และอีกหลายๆไฟลท์ที่มีชาวมุสลิมทั้งหลายที่มักจะเดินทางมาแสวงบุญเมกกะ บางคนมาในช่วงสุดท้ายของชีวิตแล้ว ถึงกับนั่งรถเข็นกันมาบ้างหล่ะ ถือไม้เท้ากันมาบ้างหล่ะ คือทั้งไฟลท์เป็นผู้สูงวัยหมดเลย เดินช้า ของเยอะ บางคนป่วยไอแค่กๆ บางคนเป็นโรคผิวหนัง ไฟลท์ที่พี่จะเล่าให้ฟังคือไฟลท์ไปลาฮอ ประเทศปากีสถาน 

เริ่มจาก boarding เลย อย่างที่บอกว่า "love at first sight" เกิดขึ้น ณ จุดนี้ ลูกเรือไฟลท์นี้รวมหลายชาติ แต่ดันมีชาติแขกตะวันออกกลาง กับชาติหัวทองบางชาติอยู่บนไฟลท์ด้วย (ขอไม่เขียนเรื่องรายละเอียดของลูกเรือแต่ละชาติ เจอกันแน่นอนตอนต่อๆไป แฉแน่ๆ เอ้ยยยย วิทยาทานนนนนน) ผู้โดยสารสูงวัยเดินขึ้นเครื่องมา ลูกเรือชาติแขกตะวันออกกลางที่ board ผู้โดยสารอยู่อีกฝั่งนึง ยืนเฉย กอดอกมองผู้โดยสารสูงวัยก้มๆเงยๆมองหาที่นั่งโดยที่ไม่ทำอะไรเลย อ่านสายตาดูก็รู้ว่าคุณเธอมองผู้โดยสารสูงวัยแบบเหยียดมากกกกก โทนเสียงที่ใช้พูดกับผู้โดยสารสูงวัยเป็นโทนเสียงแบบตะคอก อ่ะ นับ 1

ระหว่างเสริฟอาหาร พี่ออกคารท์กับเธอคนนี้ เสริฟไปได้ 2 แถวรู้มั๊ยเธอพูดกับพี่ว่าอะไร ยูๆ เสริฟน้ำแค่แก้วเดียวพอ ขออะไรกันเยอะแยะ ทั้งน้ำเปล่า น้ำส้ม กาแฟ จะกินอะไรกันนักหนา!!! อ่ะ นับ 2 พี่ไม่พูดตอบไร แค่ยิ้มบางๆไปทีนึงแล้วเสริฟต่อตามที่ผู้โดยสารอยากจะกินจะดื่ม จะกี่แก้วกี่ชนิดพี่จัดหมดไม่ตกหล่น เสริฟๆไปถึงกลางลำ โค้ก-สไปรท์ หมด พี่ถามเธอไปว่า ยูๆ ฝั่งยูยังมี โค้ก-สไปรท์อีกมั๊ย เธอตอบ ไม่มี เหลืออะไรก็เสริฟๆไปเถอะ!!! อ่ะ นับ 3 พี่ไม่ว่าไร ยิ้มบางๆเหมือนเดิม แต่พี่หันหลังเดินกลับไปที่ Galley ไปเอา โค้ก-สไปรท์ มาเพิ่ม เสริฟต่อไปเรื่อยๆ คุณเธอเริ่มทนไม่ไหวกับผู้โดยสารสูงวัยที่พูดไม่รู้เรื่อง คิดช้า ตอบช้า เธอตะคอกใส่ผู้โดยสารสูงวัยตายายคู่นึง ขอเน้นว่า "ตะคอก" คราวนี้พี่หยุดเลย ไม่นับแล้ว 4 มองหน้าเธอคนนี้ชัดๆ มองลึกเข้าไปในดวงตา สื่อความหมายไปให้เธอว่า "ต่อยกันมั๊ย?"

ไฟลท์ขากลับจากลาฮอ เธอผู้นี้ได้กลายเป็น dead girl walking สำหรับพี่ พี่ไม่มองแม้แต่หน้า ไม่พูดด้วย ไม่ทำงานด้วยเลย "Who do you think you are?" เธอคิดว่าเธอเป็นใครถึงไปแสดงกริยากับผู้โดยสารสูงวัยใกล้ฝั่งแบบนั้น คิดแล้วก็ส่ายหัว รับไม่ได้อย่างแรง ผู้โดยสารที่ไม่สูงวัย มองการเสริฟคารท์พี่กับเธอคนนี้ไฟลท์ขาไปแล้วรู้สึกได้เลยว่าเหมือนดู Devil กับ Angel กำลังต่อสู้กัน เพราะเธอแสดงความ Devil ใส่ผู้โดยสารออกมาแค่ไหน พี่ก็ Angel ใส่ผู้โดยสารกลับไปมากเท่านั้น CS ที่บินกับพี่มานาน รู้จักพี่ดี เข้ามาถามเลยว่า ยูเป็นอะไรรึป่าว ทำไมจู่ๆถึงมีรังสีอำมหิตปล่อยออกมาทางสายตา CS คนนี้บอกว่า พี่เวลาไม่ยิ้มแล้วน่ากลัวอย่างแรง ไม่น่าเข้าใกล้ ดูๆแล้วเหมือนจะทำร้ายคนได้ น่ากลัวๆ เกิดไรขึ้นบอกมานะ พี่ไม่พูดไร แต่เหมือน CS รู้ทุกอย่างแล้วเพราะได้ยินที่เธอตะคอกผู้โดยสารเป็นระยะๆ สุดท้าย CS เรียกลูกเรือคนนี้ไปตักเตือน 

ช่วงก่อน Top of descent ของไฟลท์ขาไป พวกพี่เดิน secure cabin กัน พี่กับลูกเรือชาติหัวทองชาตินึงกำลังเดินผ่าน cabin ไปด้านหลังเพื่อเอาคารท์อาหารคันใหม่ขึ้นไปข้างหน้า ระหว่างทางมีผู้โดยสารสูงวัยเอ่ยขอน้ำแก้วนึงจากลูกเรือคนนี้ เธอตอบไปยาวเลยว่า "ไม่มีแล้ว จบเซอวิสแล้ว เครื่องกำลังจะลงแล้ว ไม่ทันแล้ว" แล้วก็เดินไปเลยไม่ฟังอะไรอีกเลย ห๊ะ!? แค่น้ำแก้วเดียว!? อีกตั้ง 30 กว่านาที เครื่องจะแตะพื้นเนี่ยนะไม่ทันแล้ว!? พี่ได้แต่กัดกราม แล้วส่ายหัว เดินตามไปที่ Galley ด้านหลังรอคุณเธอไปเปลี่ยนเอาคารท์ใหม่มาเพื่อจะได้เอาไปไว้ข้างหน้ากัน ระหว่างรอพี่ก็เปิดตู้เย็นหยิบเลย น้ำขวดใหญ่ แก้ว 7 ใบ พอพวกพี่ลากคารท์ขึ้นไป พอถึงผู้โดยสารสูงวัยที่ขอน้ำ พี่ยื่นเลยทั้งขวดพร้อมแก้ว เพราะรู้เลยว่าที่นั่งกันอยู่แถวนั้นหน่ะหิวน้ำกันทั้งนั้น ผู้โดยสารสูงวัยยิ้มดีใจบอก Thank you มาให้พี่ คุณเธอหน้าเสียเลย แต่พูดอะไรกับพี่ไม่ได้ เพราะพี่ senior กว่าคุณเธอเยอะ หรือถ้าจะคิดพูดขึ้นมาจริงๆ คุณเธอจะพูดว่าอะไรได้ ในเมื่อแค่น้ำแก้วเดียวยังเดินไปเอาแค่นี้ยังไม่ได้!? 

"Who do think you are?" นี่แหละที่อยากจะถามลูกเรือ 2 ชาตินี้ แต่ก็ได้แต่ใช้สายตาสื่อความหมาย ที่ใครๆก็อ่านออกว่า "ต่อยกันมั๊ย?" พี่ไม่เริ่มนะ แต่พี่จบให้แน่นอน "try me" ~ บอกก่อนว่าไม่เคยคิดเน้นใช้กำลัง แต่ใช้สายตาเตือนก่อนว่าให้หยุด แล้วก็คิดใหม่ ส่วนใหญ่คิดได้นะ กลับตัวทัน 

พี่ขอฝากไว้นะ "Who do you think you are?" ให้หมั่นถามตัวเองบ่อยๆ จะคิด จะพูด จะทำอะไรกับใคร คิดให้ดีๆ อ่านคนคนนั้นให้ออก เพราะทุกคนที่เจอ ส่วนใหญ่แล้วถือมีดไว้ข้างหลังเกือบหมด แต่ตราบใดที่เราไม่ชักมันออกมาก่อน มือที่จับกันไว้อย่างดี ก็จะจับกันอยู่อย่างนั้นตลอดไป แต่ถ้าเค้าชักมันออกมาก่อน เราควรจะตั้งรับแล้วก็ป้องกันตัวเองให้ได้เป็นพอ แล้วเจอกันตอนหน้านะ กับ แนะแนวข้ามทวีป : "so-called flight attendant" ตอนที่ 8 A war zone

>>> แนะแนวข้ามทวีป : "so-called flight attendant" ตอนที่ 8 A war zone <<<




................................................................
"so-called flight attendant" ตอนที่ 1 How? 
"so-called flight attendant" ตอนที่ 2 How come?

"so-called flight attendant" ตอนที่ 4 Hello Middle East 

"so-called flight attendant" ตอนที่ 5 Back to School 

"so-called flight attendant" ตอนที่ 6 I believe I can fly 








No comments: