Sunday, June 28, 2020

แนะแนวข้ามทวีป : so-called flight attendant ตอนที่ 11 Say WHAT!?

*** Rules&regulations ในการอ่าน "so-called flight attendant" ***

1. เรื่องราวทั้งหมดที่เกิด เป็นประสบการณ์ตรงของผู้เขียนที่อยู่ในอาชีพแอร์โฮสเตสมาเป็นระยะเวลา 13 ปี ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาโจมตีหรือพาดพิงผู้ใดทั้งสิ้น หากแต่เป็นการเขียนเพื่อเป็นวิทยาทานให้รุ่นน้องที่อยากเป็นแอร์โฮสเตส และเพื่อเพื่อนๆผู้รักการอ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้น

2. เนื้อหาและเนื้อเรื่องบางส่วนในบางตอน ไม่สามารถนำไปใช้ได้กับสายการบินอื่นๆในเหตุการณ์เดียวกัน การนำเอาเรื่องราวของผู้เขียนไปเปรียบเทียบ หรือยึดถือเป็นหลักโดยรวมว่าด้วยเรื่องของชีวิตการเป็นแอร์โฮสเตส อาจทำให้ผู้อ่านมีความเข้าใจที่ผิดต่อการเป็นแอร์โฮสเตสในภาพรวมได้

3. กรุณาใช้วิจารณญาณขั้นสูงสุดในการอ่าน เนื่องจากเรื่องราวของผู้เขียนนั้น เกิดขึ้นจากการใช้ชีวิตการทำงานและอยู่อาศัยในประเทศแถบตะวันออกกลางเท่านั้น การจัดการและการบริหารของสายการบินต่างๆในแถบนี้ รวมถึงสายการบินที่เบสในประเทศไทยนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพื่อนร่วมงาน ผู้โดยสาร เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม การเลี้ยงดูในวัยเด็ก จิตสำนึก ความคิด ทำให้ความสามารถในการมองโลก การแก้ปัญหา การแยกแยะผิดชอบชั่วดี มีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ผู้อ่านจึงไม่ควรตัดสินชีวิตใคร แต่ควรพึงเข้าใจ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นไป ล้วนแล้วแต่เป็น "กรรม" ของแต่ละบุคคลเท่านั้น

..............................................................................................................
 Picture Credit : https://seasokhon.com/2017/12/27/benefits-of-understand-communication-styles/



แนะแนวข้ามทวีป : so-called flight attendant ตอนที่ 11 Say WHAT!? จะพูดถึงการสื่อสาร (Communication) ล้วนๆเลย ไม่ว่าจะทำงานอะไรเราก็ต้องมีการสื่อสารหมด ทั้งการพูดการจา การนำเสนอ ท่าทาง บุคลิกลักษณะ งานแอร์ก็ไม่เว้น แถมอาจจะหนักกว่าอีก เพราะว่าเราต้องเจอกับคนต่างเชื้อชาติ ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม ที่หนักกว่านั้นคือ เจอทั้งหมดที่ว่ามาภายใน 1 ไฟลท์ที่ทำใน 1 วัน ผู้คนที่จะได้เจอจะมีตั้งแต่ลูกเรือที่ต้องทำงานด้วยกันในไฟลท์นั้นๆ พนักงานภาคพื้นดิน (Ground Staff) พนักงานทำความสะอาดบนเครื่องบิน (Cleaner) ผู้โดยสารอีกเป็นร้อยคนแค่ในไฟลท์นั้น รวมไปถึงอีกหลายบุคคลที่ไม่ได้กล่าวถึงเวลาไปบิน แล้วอาจจะไม่ได้เจอกันอีกก็เป็นได้ ถามว่าคนทั้งหมดนี้สื่อสารกันยังไงให้ไม่ทะเลาะกัน !?

Say WHAT!? ในที่นี้แปลแนวๆได้ว่า "ห๊ะ พูดว่าอะไรนะ" มันอาจจะเป็นความคิดเราที่พูดอยู่ข้างในคนเดียวเวลาเราคุยอยู่กับใครแล้วอาจจะไม่เข้าใจ สะดุด หรือไม่เข้าหูกับสิ่งที่ได้ยินมาก็เป็นได้ แต่คือเราจะจัดการความคิดนั้นยังไง จะเงียบเอาไว้ หรือจะพูดออกไปเลยเพื่อความเคลียร์ ไม่ว่าจะเลือกทางไหนคือมีผลลัพธ์หมด (All actions have consequences.)

ไอเดียต้นเรื่องของการเขียน แนะแนวข้ามทวีป : so-called flight attendant ตอนที่ 11 Say WHAT!? นี้มาจากห้อง Briefing (ซึ่งได้อธิบายไว้แล้วในตอนที่ 10) คือลูกเรือจะต้องมานั่งประชุมกันก่อนไปทำไฟลท์นั่นเอง ในประสบการณ์การบิน 13 ปีของผู้เขียน บอกได้เลยว่ามีหลายครั้งที่หัวหน้าลูกเรือ(บางคน)จะปิดท้ายการประชุมด้วยเรื่อง "communication" เป็นหลัก เค้าจะเน้นมาก ว่า 99.99% ของปัญหาส่วนใหญ่มาจาก "miscommunication" (การสื่อสารที่ผิดพลาด) ทำให้เกิดการ "Misunderstanding" (การเข้าใจผิด) >>> misunderstanding <<<  คือการพูดคุยสื่อสารที่ไม่ตรงกัน ทำให้ไม่เข้าใจกัน เข้าใจผิดกัน และทำให้เกิดปัญหาจากเล็กไปถึงปัญหาใหญ่ๆ 

หากเราทำงานกับสายการบินในประเทศไทย ที่ลูกเรือส่วนใหญ่เป็นคนไทย การสื่อสารจะอยู่ในระดับค่อนข้างดี เพราะอย่างน้อยก็คนไทย คุยกันรู้เรื่อง คุยกันไม่รู้เรื่องก็ใช้ใจคุยกัน คนไทยด้วยกันยังไงก็ดีกว่า (ไม่นับรวมว่าใครมาจากไหน นิสัยใจคอเป็นอย่างไรนะ) แต่ถ้ามาเบสกับสายการบินของตะวันออกกลาง เจอแน่ๆคือ ลูกเรือชาวต่างชาติที่มาจากทุกมุมโลกเลย ภาษาหลักที่จะต้องใช้สื่อสารกันคือภาษาอังกฤษ ไม่นับรวม Body Language ที่จะช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้นนะ

ถามว่าถ้าไม่เก่งภาษาอังกฤษแล้วจะทำยังไง!? ขอบอกว่าไม่ใช่ปัญหานะ มีลูกเรือหลายคนจากหลายชาติที่ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาแม่ พอมาเป็นแอร์แล้วถึงพูดได้พูดเป็นกันเยอะมาก เพราะมันต้องใช้อยู่ตลอด 24/7 ( >>> 24/7 <<<) พูดทุกๆวัน นานๆเข้าก็คือสื่อสารได้ มันเป็นเรื่องปกติ เพราะทุกวันคือการเรียนรู้อยู่แล้ว แค่ว่าเรียนอะไรเท่านั้นเอง 

ประเด็นคือเจ้าตัว "communication" นี่นะ ถ้ามันกลายพันธุ์เป็น "miscommunication" และ "misunderstanding" บนไฟลท์ ขอเน้นว่าบนไฟลท์ มันสามารถสร้างปัญหาได้ตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงระดับ Ph.D (ปริญญาเอก) เลยทีเดียว การแก้ปัญหาของระดับอนุบาลนี่คือไม่เท่าไหร่ เคลียร์กันได้ ไม่สร้างความเสียหายมาก แต่ถ้าขึ้นถึงระดับ Ph. D คือเรื่องใหญ่ และกระทบเป็นวงกว้าง สร้างความเสียหายได้มากจริง มาดูตัวอย่างกัน

- ผู้โดยสารในชั้นประหยัดท่านหนึ่งเป็นลม ลูกเรือก็ปฐมพยาบาลกันไป การเป็นลมของผู้โดยสารท่านนี้ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวกับ Life threatening (อันตรายถึงชีวิต) หัวหน้าลูกเรือชั้นประหยัด (Cabin Senior) ไปบอกหัวหน้าลูกเรือให้รับทราบ แต่ไม่รู้คุยกันยังไง หัวหน้าลูกเรือเข้าไปบอกกัปตันว่า "ผู้โดยสารไม่หายใจแล้ว" ข้อมูลแบบนี้สำหรับกัปตันคือเรื่องใหญ่ ผลที่ตามมาคือ กัปตันแจ้งเหตุไปทาง ATC (Air Traffic Control - หอบังคับการบิน) ของประเทศที่กำลังบินผ่านอยู่ตอนนั้น ว่าขอลงจอดด่วน เพราะมี "Medical case on board" (เหตุผู้ป่วยฉุกเฉินบนไฟลท์)  และเมื่อลงจอดฉุกเฉินแล้ว ทีมแพทย์ได้ขึ้นมาตรวจเช็คผู้โดยสารแล้วคือ ผู้โดยสารท่านนั้นไม่ได้เป็นอะไร นั่งอยู่กับที่และปกติดี #ซะงั้น

- เครื่องบินบินอยู่บนฟ้า ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง สังเกตุเห็นควันไฟออกมาจากเครื่องยนต์ทางปีกขวาของเครื่องบิน เลยรีบเรียกลูกเรือให้มาดู หัวหน้าลูกเรือเดินลงไปดูและเห็นว่ามีควันออกจากเครื่องยนต์จริงๆ เลยรีบไปที่ Flight deck (ห้องนักบิน) แล้วบอกกัปตันว่า "มีควันไฟออกมาจากเครื่องยนต์ทางปีกซ้ายของเครื่องบิน" กัปตันถามย้ำว่าปีกซ้ายนะ แล้วก็กดดับเครื่องยนต์ปีกซ้ายไป พร้อมกับกดระบบดับไฟฉุกเฉินของเครื่องยนต์ ไฟจะได้ดับ แต่เครื่องยนต์ปีกขวาต่างหากที่ไหม้ หัวหน้าลูกเรือบอกปีกซ้าย เพราะว่าเค้าเดินจากหัวเครื่องลงไปดู(หัวหน้าลูกเรือส่วนใหญ่จะประจำอยู่ที่หัวเครื่อง ใกล้กับห้องนักบิน) ไม่ได้เดินจากท้ายเครื่องขึ้นไปดู(ถ้าเดินจากท้ายเครื่องขึ้นไป ปีกขวาจะอยู่ทางขวามือของเราพอดี) ปีกทางขวาที่ว่าเลยกลายเป็นอยู่ทางซ้ายมือของเค้า และเค้าก็จำมันแบบนั้นไปบอกกับนักบิน #จบยังไงขอไม่พูดถึง 

เอาแค่ 2 ตัวอย่างนี้คือก็เห็นชัดแล้วว่า "miscommunication" กับ "misunderstanding" สร้างความเสียหายได้มากแค่ไหน จะเสียหายแค่ไหน แต่ถ้ามีชีวิตอยู่ต่อเพื่อแก้ไข มันก็คงจะดีไม่น้อย

ส่วนปัญหาระดับอนุบาลที่พอแก้ไขกันได้ ขอยกมา 1 ตัวอย่าง ดังนี้

- ผู้โดยสารสั่ง Special Meal (อาหารเมนูพิเศษต่างๆที่ผู้โดยสารทำการจองไว้ล่วงหน้าก่อนขึ้นบิน เช่น ผลไม้, อาหารของคนเป็นโรคเบาหวาน เป็นต้น) ท่านหนึ่งนั่งอยู่ที่ 27A แต่ลูกเรือเดินเอาไปเสริฟให้ที่ 27K คือถูกแถว แต่มันคนละฝั่งกันเลย เหตุเพราะลูกเรือที่ส่งถาดให้ลูกเรืออีกคนเอาไปเสริฟนั้นดันชี้ไปที่ฝั่ง 27K แล้วบอกว่าถาดนี้ของ 27A นะ  #ขอบใจ

การพูดคุยกันเพื่อการเข้าใจที่ตรงกัน การกล้าพูดในสิ่งที่คิด (เพราะบางทีคือเรารู้และว่ามันไม่ใช่นะ แค่เราพูดหรือไม่พูดออกไป) ทำให้เกิดการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง คือ "Effective Communication" ไม่มีอะไรดีไปกว่าการที่ทุกคนเข้าใจกัน ทำงานร่วมกันได้ไม่เกิดปัญหา และถึงแม้จะเกิดปัญหาขึ้นมา แต่การคุยกันดีๆเพื่อหาทางแก้ไข หาจุดตรงกลาง ยอมรับฟังกัน เรื่องก็จบได้แบบสวยงาม นี่คือ 1 ในเรื่องหลักๆที่พวกน้องจะต้องเจอเมื่อขึ้นมาบินแล้ว เพราะปัญหามันมีทุกไฟลท์จริงๆ ไม่กับลูกเรือด้วยกันเอง ก็กับผู้โดยสาร และกับคนทั่วไปที่จะต้องเจอเวลาเราไปบิน (Ground Staff, Cleaner) พี่ก็ขอให้ทุกคนปรับตัวได้ ใช้เวลาหน่อยไม่เป็นไร ขอให้เปิดรับและหาจุดตรงกลางให้เจอ ค่อยๆเรียนรู้ไป แล้วจะดีเอง 

มาเจอกันใหม่กับ แนะแนวข้ามทวีป : so-called flight attendant ตอนที่ 12 Your job or My job

...................................................................................................................

>>> แนะแนวข้ามทวีป : Introduction <<<
>>> แนะแนวข้ามทวีป : High School Love On <<<
>>> แนะแนวข้ามทวีป : Better Planet VS. Better Kids <<<
>>> แนะแนวข้ามทวีป : What's next? <<<


"so-called flight attendant" ตอนที่ 1 How? 
"so-called flight attendant" ตอนที่ 2 How come?

"so-called flight attendant" ตอนที่ 4 Hello Middle East 

"so-called flight attendant" ตอนที่ 5 Back to School 

"so-called flight attendant" ตอนที่ 6 I believe I can fly 

"so-called flight attendant"  ตอนที่ 9 It's all about the money.
https://skulligram.blogspot.com/2015/04/so-called-flight-attendant-9-its-all.html

แนะแนวข้ามทวีป : so-called flight attendant ตอนที่ 10 What time is it?
https://skulligram.blogspot.com/2020/06/so-called-flight-attendant-10-what-time.html

Saturday, June 27, 2020

"ถามมา - ตอบไป (Q&A)" ตอน นั่งตรงไหนในเครื่องบิน แล้วจะไม่ติดCOVID-19

Picture Credit : https://www.dezeen.com/2020/05/12/factorydesign-isolation-passenger-screen-social-distancing-planes/


คำถามนี้เข้ามาเมื่อวาน จากเพื่อนผู้เขียนเองนี่แหละ เป็นคู่สามี-ภรรยาชาวออสเตรเลียกับญี่ปุ่น เจ้าของคำถามคือ Glen สามีของ Masumisan นั่นเอง คือเพื่อน 2 คนนี้ชีวิตเค้าจะอยู่ญี่ปุ่น 6 เดือน แล้วกลับไปอยู่ออสเตรเลีย 6 เดือน วนอยู่แบบนี้ทุกปี ตามกำหนดการคือเพื่อนจะต้องบินกลับออสเตรเลียตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมแล้ว แต่กลับไม่ได้เพราะไฟลท์แคนเซิลหมด เลยติดอยู่ที่ญี่ปุ่นเกือบ 2 เดือน สุดท้ายได้กลับกับสายการบิน Cathay Pacific via(ผ่าน) Hong Kong คือนั่งจากญี่ปุ่นไปลงที่ฮ่องกง แล้วจากฮ่องกงต่อไปออสเตรเลียอีกที

Glen ถามมาว่า >>> 




คือเพื่อนอยากรู้ว่านั่งตรงไหนในเครื่องบินแล้วเสี่ยงติด COVID-19 น้อยที่สุด สิ่งที่เค้าห่วงอีกเรื่องหนึ่งคือการไปแวะลงต่อเครื่อง (transit) ที่ ฮ่องกง เพราะคนจะมาต่อเครื่องกันเยอะ และมาจากหลายที่ มันก็พอเข้าใจความเสี่ยงว่ามีแน่นอน

มาถามแอร์โฮสเตสเรื่องนี้ก็อาจจะต้องคุยกันยาว แต่ก็ตอบเพื่อนแบบสั้นๆไปว่าแบบนี้ >>>




ตามนั้นเลย หลักๆคือ ล้างมือบ่อยๆ (wash your hands) การใส่มาสก์ (wear mask) กับการรักษาระยะห่าง (Social Distancing) อันนี้คือเป็นวิธีป้องกันที่ชัดเจนที่สุดแล้ว ณ ตอนนี้ถ้าต้องออกจากบ้านหรือเดินทางข้ามประเทศ ไม่มีใครมองเห็นไวรัสตัวนี้ได้ด้วยตาเปล่า มันมีอยู่ทุกที่ และอยู่บนพื้นผิวของทุกสิ่งอย่าง มือเราจับทุกสิ่งอย่างรอบตัว แล้วเอาไปจับตา หู จมูก ปาก แบบไม่รู้ตัว เป็นการส่งเชื้อเข้าร่างกายโดยตรง หรือบางทีเชื้อมันอยู่ในอากาศ คือมีผู้ติดเชื้อแล้วอยู่แถวนั้น ไอหรือจามออกมา ถ้าเป็นรถประจำทาง หรือเครื่องบิน หรือห้องที่ไม่มีอากาศถ่ายเท ที่ๆอากาศมันจะวนๆอยู่แบบนั้น แล้วเราไม่ได้ใส่หน้ากาก เราก็หายใจปกติ คือหายใจเข้าไปพอดี แบบนี้ก็เสี่ยง เพราะฉะนั้นตอบกันสั้นๆเน้นๆว่า

 ***บนเครื่องบิน ไม่มีที่นั่งตรงไหนเลยที่จะป้องกันเราไม่ให้ติดเชื้อ COVID-19 ได้*** 

ประเทศญี่ปุ่นเป็นเจ้าแห่งการทดลองทุกสิ่งอย่าง ทดลองแต่ละอย่างคือได้ความรู้ที่เข้าใจได้ง่ายๆแบบไม่ต้องมา technical terms(ศัพท์เฉพาะ/ศัพท์ทางเทคนิค) อะไรมาก อาจจะเคยเห็นข่าวนี้กันมาแล้ว ที่เค้าทำการทดลองการเดินทางของเชื้อไวรัสตัวนี้ ใครยังไม่เคยดู แนะนำ

>>> Coronavirus: New Facts about Infection Mechanisms <<<
>>> Black Light Experiment <<<

ไม่ต้องเข้าใจภาษาอังกฤษหรือภาษาญี่ปุ่น แต่คือแค่ดูคลิบก็สามารถเข้าใจได้ การล้างมือบ่อยๆและทุกครั้งก่อนจะเอาไปจับตา หู จมูก ปาก รวมถึงก่อนกินข้าวคือการป้องกันเบื้องต้นแบบไม่ใช่แค่ COVID-19เท่านั้น มันสามารถป้องกันได้หลายโรคเลย

พูดถึงเรื่อง Communicable Disease (โรคติดต่อ) ในที่นี้คือรูปแบบของไวรัสนะ จำแม่นเลย น่าจะประมาณปี 2010 บินมาได้แค่ 3 ปี ถ้าจำไม่ผิดคือทำไฟลท์ไปประเทศปากีสถาน หลังเสร็จเซอวิสคือมีคุณแม่อุ้มลูกน้อยอายุไม่ถึง 1 ขวบมาเข้าห้องน้ำ เพื่อนลูกเรือรักเด็กทั้งหลายก็เข้าไปเล่นกับทารกน้อยหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม คือ ตาโด คิ้วดก เรียกแม่ยกทุกงาน พอถึงตาผู้เขียนเข้าไปดูหน้าใกล้ๆบ้าง แค่นั้นแหละ ทารกน้อยจามใส่หน้า #ซะงั้น มันเป็นการจามแบบไม่มีการเตือนล่วงหน้า คือเข้าหน้าเราเต็มๆ และด้วยความตกใจคือหายใจเข้าไปนิดนึง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้ว่า ไวรัสคืออะไร เพราะรู้สึกเลยว่ามันเข้ามาในร่างกายแล้วคือมันทำปฏิกิริยากับร่างกายเราเลย มึนๆเล็กน้อย สักพักนึงคือปวดหัวเบาๆ อย่าได้ไปดูถูกการจามของทารกน้อยเด็ดขาด ไม่มีใครรู้ว่าใครมีอะไรอยู่ในร่างกาย โชคดีที่ว่าผู้เขียนไหวตัวทัน เดินไปล้างหน้าล้างตา กินวิตามิน C 1000mg เดี๋ยวนั้น ขากลับกินอีก 1000mg (Vitamin C กินเข้าไปแล้วอยู่ในร่างกายแค่ 3 ชม. เท่านั้น หลังจากนั้นร่างกายจะขับออกทันที) และทั้งไฟลท์ขาไปและขากลับคือกินน้ำหมดไป 3 ลิตร (น้ำขวดใหญ่ 2 ขวด) จบไฟลท์แล้วคือไม่เกิดอะไรขึ้น ไม่ป่วยไม่เป็นอะไร ทุกอย่างปกติ #รอดตัวไป

ใครที่ติดตามเรื่อง COVID-19 ตั้งแต่ต้น ในที่นี้คือตั้งแต่เดือนมกราคมแล้ว จะรู้ว่าข้อมูลมันจะเริ่มมาเรื่อยๆเดือนกุมภาพันธ์ พอเข้าเดือนมีนาคมคือทุกอย่างเริ่มชัดแล้วว่าไม่ธรรมดา เพราะเริ่มไปทั่วโลกและ เป็นเดือนที่คนติดเชื้อแบบไม่ทันได้ป้องกันตัวมากที่สุด ข้อมูลทางการแพทย์และจากขององค์การอนามัยโลกก็จะเริ่มทยอยออกมาให้อ่านกันแบบมีมูลข้อเท็จจริงและคนเริ่มฟังกันจริงๆคือเดือนเมษายนยาวมาถึงทุกวันนี้

สำหรับคนที่ติดตามเรื่องนี้มาตลอด ต้องจากรายงานและการวิจัยที่เค้าทดลองและยืนยันมาแล้วเท่านั้นนะ ไม่ใช่ว่าเราไม่ได้อ่านแล้วไปฟังคนอื่นพูดมาอีกที ต้องอ่านและศึกษาเองเท่านั้นถึงจะเข้าใจ ใครที่ตามข่าวจาก WHO โดยตรงเลยข้อมูลจะเยอะมาก อ่านกันจนตัดแว่นใหม่กันเลยทีเดียว ใครพออ่านภาษาอังกฤษได้คือแนะนำให้ไปอ่านที่นี่

>>> WHO - CORONAVIRUS <<<
>>> Q&A on coronaviruses (COVID-19) <<<
>>> COVID-19 Advice for public <<<

หรือสะดวกฟัง updates จากสื่อของไทยก็ได้ ทั้งของกระทรวงสาธารณสุข และอีกหลายช่องทางเลย ชอบที่ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลีนิค จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้อธิบายไว้ชัดเจนมาก ได้ความรู้ความเข้าใจ ติดตามความรู้ดีๆจากคุณหมอยงได้ที่ >>> ํYong Poovorawan <<< ประเด็นสำคัญคือ คนไม่อ่าน ไม่ติดตาม ก็ไม่รู้ พอไม่รู้ ก็เสี่ยง เราอาจจะไม่เป็นอะไร แต่คือคนอื่นลำบาก อะไรแบบนี้ มันต้องช่วยกัน ถึงจะผ่านไปได้

***สำหรับคนตาดีที่อ่านจากคำตอบที่ผู้เขียนตอบ Glen แล้วอาจจะไปสะดุดคำว่า OCD (Obsessive  Compulsive Disorder) ว่าคืออะไร
คำอธิบายแบบไทยๆ >>> OCD - โรคย้ำคิดย้ำทำ <<<
เวอชั่นภาษาอังกฤษก็มา >>> OCD - Obsessive Compulsive Disorder <<<

ตอนนี้ Glen กับ Masumisan ถึง Australia แล้ว และตรงเข้าไปอยู่โรงแรมใน Sydney ที่เค้าเตรียมไว้สำหรับ 14 Days State Quarantine เป็นที่เรียบร้อย ขอให้เพื่อนทั้ง 2 คนผ่านช่วงเวลาการกักตัว 14 วันนี้ไปได้ด้วยดี แล้วก็ขอให้ผู้อ่านทุกคนปลอดภัย อย่าลืมนะ >>> ล้างมือบ่อยๆ (wash your hands)  ใส่มาสก์ (wear mask) รักษาระยะห่าง (Social Distancing) <<<  #ร่วมด้วยช่วยกัน

#StaySafe

.......................................................................................

"ถามมา - ตอบไป (Q&A)" ตอน กระเป๋าวางตรงไหน???







Friday, June 26, 2020

Welcome on board : ตอนที่ 3 Turn it off

***โปรดทำความเข้าใจก่อนอ่าน***

1. "Welcome on board" จัดทำขึ้นมาโดยคำแนะนำของอาจารย์เกรียงไกร ทองชื่นจิต อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาต่างประเทศของโรงเรียนราชีนีบูรณะ จ.นครปฐม เพื่อเป็นสื่อการเรียนการสอนเพิ่มเติมด้านวิชาภาษาอังกฤษให้กับทางโรงเรียนราชีนีบูรณะ จ.นครปฐม และสำหรับบุคคลที่สนใจทั่วไป ห้ามมิให้ทำการดัดแปลง ตัดต่อ หรือเพิ่มเติมเนื้อหาโดยไม่ได้รับอนุญาต


2. Safety Demo ชุดนี้ จัดทำโดยสายการบิน Virgin America ผู้เขียนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดทำหรือตัดต่อใดๆทั้งสิ้น หากเพียงแต่นำมาเป็นข้อมูลใช้ในการเขียนเพื่อให้ความรู้ในเรื่องของการบินเท่านั้น


3. อุปกรณ์นิรภัยและทางออกในกรณีฉุกเฉินที่เห็นใน 
Safety Demo ชุดนี้ ใช้ได้เฉพาะเครื่องบินรุ่นที่สายการบิน Virgin America  ใช้บินเท่านั้น ผู้อ่านควรให้ความสนใจในการดู safety demo ทุกครั้งที่บินกับสายการบินอื่นๆ เนื่องจากแต่ละสายการบินนั้นใช้เครื่องบินต่างรุ่นกัน ทางออกฉุกเฉินรวมไปถึงอุปกรณ์นิรภัยต่างๆที่ใช้ในยามฉุกเฉินนั้นอาจไม่เหมือนกัน

4. ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าผู้อ่านจะได้เกร็ดความรู้ไม่มากก็น้อยทั้งในเรื่องของภาษาอังกฤษและความรู้ทั่วไปในเรื่องของการบิน ทั้งนี้ทั้งนั้น ขอให้ผู้อ่านทุกท่านที่ต้องเดินทางไป-กลับโดยเครื่องบิน มีความราบรื่นและปลอดภัยตลอดการเดินทาง "Safe flight always" ~


....................................................................................





ตารางบินเพิ่งจะออกเมื่อวาน สรุปว่าสายการบินพี่เริ่มกลับมาทำการบินอีกครั้งวันที่ 1 กรกฎาคม นี้และ อยู่บ้านกันชิวๆมา 3 เดือนเต็มๆ #ติดอกติดใจ กลับขึ้นไปบินอีกที จะเป็นอย่างไร แล้วค่อยมาเล่าสู่กันฟัง ตอนนี้เราต่อกันเลยดีกว่ากับ Welcome on board : ตอนที่ 3 Turn it off จะเริ่มตั้งแต่นาทีที่ 1.19 ไปจบที่นาทีที่ 1.37 เนื้อเพลง(Lyrics)ของตอนนี้ มีอยู่ว่า 

>>> Personal electronic devices should be turn off and properly stowed during taxi, take-off and landing. 

Laptops should be placed inside carry-ons or under the seat, not in seat back pockets or loose on the cushion next to you.

Nice try!
Your inflight team or the sign above will determine when electronics may or may not be used during flight. <<<
ขอเลือกออกมาขยายทั้งหมด 10 คำ ไปดูกันเลย

Personal electronic devices (PED)
Personal คือ ส่วนตัว >>> personal <<<
Electronic คือ เกี่ยวกับระบบอิเล็กทรอนิกส์/ไฟฟ้า
Device คือ อุปกรณ์ >>> device <<<

Personal electronic devices ในที่นี้ก็คือ โทรศัพท์มือถือ, Laptop, iPad, Taplet, เครื่องเล่นเกมส์ต่างๆ ที่พวกเราพกติดตัวขึ้นเครื่องไปด้วยทุกครั้งนั่นเอง


turn off
turn off เป็น Phrasal Verb (PHRV) ที่มีความหมายหลายแบบ ในที่นี้ turn off แปลว่า ปิด (ซึ่งคำว่า เปิด ก็คือ turn on นั่นเอง) >>> turn off <<<

Turn on the light. เปิดไฟ
Turn off the light. ปิดไฟ

***มันมี turn on อีกแบบที่ถ้าจะอธิบายนี่ต้องใส่ "Parental Advisory PG12+" (เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี ผู้ปกครองควรให้คำแนะนำ) แฮะ  #ขออนุญาตข้าม

ส่วนใหญ่แล้วจะใช้กับการปิด/เปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างหรือเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ได้เหมือนกัน จะมีอีกคำที่ใช้ว่าปิด/เปิด คือคำว่า >>> switch on / switch off << ถ้าเราเข้าไปอ่านตามลิงค์ที่พี่แปะให้ทั้งหมด จะเห็นได้ว่ามันแปลอย่างอื่นได้ด้วย ได้ในแบบที่ว่าไม่เกี่ยวอะไรเลยกับการปิดเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์

ถ้าให้ยกตัวอย่างที่เกี่ยวกับการบิน ลูกเรือบางวันคือขึ้นไปบินแล้วแบบ alert(ตื่นตัว) มาก ทุกการกระทำคำพูด การขยับตัวเป็นไปด้วยความคล่องแคล่ว ผู้โดยสารพูดสำเนียงไรมาฟังรู้เรื่องหมด ใครสั่งอะไรจำได้หมดไม่ต้องจด อะไรแบบนี้หัวหน้าลูกเรืออาจจะแซวและว่า "Wow, You switch on today." คือตื่นตัว มีสติ เพราะถ้าเวลาสมองเราเปิดก็เหมือนเวลาเราเปิดไฟ ทุกอย่างก็จะสว่างขึ้นมาหมดใช่มั๊ยหล่ะ นั่นแหละ "Switch on"

stowed
มันคือ V. 3 (Past Participle) ของคำว่า >>> stow <<< เป็นคำกริยาที่แปลว่า เก็บ/จัดเก็บให้เข้าที่เข้าทาง 

***ซึ่งถ้ามองดีๆมันก็คล้ายๆกับคำว่า >>> put <<< กับ >>> place <<< คือเอาไปวาง เอาไปไว้ เอาไปเก็บ อะไรแบบนี้ ความหมายใกล้เคียง คำว่า stow เลยเหมาะสุดกับทุก safety demo เพราะมันคือ การเก็บให้มันเข้าที่เข้าทาง ไม่ใช่การวางเฉยๆตรงไหนก็ได้ 

taxi 
ถ้าเป็นคำนาม(noun) ก็คือ รถแทกซี่ นี่แหละ แต่ถ้าเมื่อไหร่เอามาใช้เป็นคำกริยา(verb) จะแปลว่า เครื่องบินที่กำลังวิ่งอยู่บนรันเวย์ ในที่นี้คือ เครื่องบินกำลังวิ่งไปที่รันเวย์ที่จะใช้ทำการ take-off คือเครื่องขึ้นนั่นเอง เริ่มตั้งแต่การถอยเครื่องออกมาจากอาคารผู้โดยสารเลย ไปจนถึงการจอดรอข้างๆรันเวย์เพื่อรอไฟเขียวจาก ATC (Aircraft Traffic Control - หอบังคับการบิน)ให้ทำการ take off ได้นั่นเอง ช่วงที่เครื่องบินกำลังวิ่งแบบนี้อ่ะเค้าเรียกว่า "Taxiing" (แทก-ซี่-อิ่ง) และจะเป็นช่วงที่แอร์โฮสเตสจะต้องเดินเข้าไปสำรวจในห้องโดยสารแล้วว่าทุกคนรัดเข็มขัดเรียบร้อยแล้ว กระเป๋าเก็บหมดแล้ว คือการ "Secure the cabin" นั่นเอง 

>>> Personal electronic devices should be turn off and properly stowed during taxi, take-off and landing. <<< จึงแปลเอาใจความได้ว่า "กรุณาปิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิดและเก็บไว้ในที่เก็บสัมภาระให้เรียบร้อยก่อนเครื่องขึ้น - ลง"

carry-on
>>>carry-on <<< มันคือกระเป๋าที่เราใช้ขึ้นเครื่อง จะเป็นแบบ trolley ใบเล็ก 4 ล้อลากก็ได้ หรือเป็นแค่กระเป๋าถือผู้หญิงก็ได้ ในที่นี้คือกระเป๋าอะไรก็ได้ที่เราถือเอาขึ้นไปบนเครื่องด้วยนั่นเอง

seat back pockets 
เหลือบไปเห็นคำนี้ มันสะดุดตา เพราะว่าจริงๆแล้วมันคือ  "Seat pocket" นี่แหละ แต่คือ safety demo ชุดนี้เรียก seat back pocket แปลตรงตัว ช่องเก็บของที่อยู่หลังที่นั่ง มันทำให้คิดไปไกลว่า อ่าว มันอยู่หลังที่นั่ง แล้วมันของใคร เราต้องหันเอาของเราไปวางไว้ข้างหลังเก้าอี้ที่เรานั่งหรือไง #ฮาาาาาา งี้แหละพวกคิดเยอะ "Seat pocket" จริงๆคือจะอยู่ตรงหน้าที่เรานั่งเลย จะเป็นช่องที่จะมีพวก Safety Card(ของเครื่องบินรุ่นที่ท่านผู้โดยสารนั่งอยู่) , Duty Magazine, In-flight Magazine, Sick Bag(ใครเมาเครื่องบินขอเรียนเชิญหยิบใช้ได้ตามอัธยาศัย), etc.(และอื่นๆ) อันนี้แล้วแต่สายการบินว่าอยากใส่อะไรไว้ตรงนั้นให้ผู้โดยสาร

***ประเด็นที่พบได้บ่อยคือผู้โดยสารชอบวางโทรศัพท์มือถือ iPad กระเป๋าตังค์ พาสปอรต์ ไว้ในช่องนี้ พอเครื่องลงแล้วคือ "ลืมสนิท" วิ่งกลับมาเอากันแทบไม่ทัน ของยังอยู่ก็โล่งใจ ของหายก็แบบความดันขึ้นอีก นะ ใครชอบวางของตรงนี้ก็อย่าลืมเอากลับไปด้วยเน้อ

loose
เป็นอีกคำที่มีความหมายเยอะมาก >>>loose <<< ในที่นี้จะขอพูดถึงแค่ใน safety demo นี้นะ ของอะไรก็ตามที่มัน loose คือมันเป็นอิสระ ไม่มีอะไรมาจับ มายึด มาเกาะ เช่น เราวางกระเป๋าบนที่นั่งผู้โดยสารข้างๆช่วงเวลาเครื่องขึ้น - ลง แบบนี้คือ loose แล้วอะไรที่มัน loose มันก็จะไปกระทบกับเรื่องของ Safety(ความปลอดภัย) นั่นเอง 

cushion
>>> cushion <<< ในที่นี้แปลว่า เบาะ/เบาะที่นั่ง มันคือ "Passenger Seat" (ที่นั่งของผู้โดยสาร) นี่แหละ ใช้คำว่า cushion เอามาขยายให้ว่าไม่ใช้ที่นั่งธรรมดาแข็งโป๊ก แต่เป็นที่นั่งที่เป็นเบาะนุ่มๆ cushion แปลว่า หมอนอิงได้ด้วย คืออะไรก็ได้ที่นุ่มๆเอามารองนั่ง เอามาพิง เอามาอิง ใครมีเพื่อนsizeอบอุ่นนี่สามารถใช้เพื่อนเป็น cushion ได้เหมือนกัน #นุ่มนิ่ม

>>> Laptops should be placed inside carry-ons or under the seat, not in seat back pockets or loose on the cushion next to you. <<< จึงแปลเอาใจความได้ว่า "กรุณาเก็บคอมพิวเตอร์(แลปทอป)ไว้ในกระเป๋าหรือใต้ที่นั่งด้านหน้าของท่าน กรุณาอย่าวางไว้ในช่องเก็บเอกสารด้านหน้าที่นั่งของท่านหรือบนที่นั่งด้านข้างของท่าน"

Nice try!
อธิบายง่ายที่สุดคือการดูที่ safety demo ตัวนี้ ช่วงนาทีที่ 1.30 - 1.31 คือชัดเจน ผู้โดยสารกำลังหาที่เก็บแลปทอปของตัวเองก่อนที่แอร์โฮสเตสจะเดินมาตรวจดูความเรียบร้อยก่อนเครื่องขึ้น ไม่รู้จะวางตรงไหนดี วางไว้ข้างที่นั่งตัวเองแล้วกันเพราะไม่มีใครนั่งอยู่พอดี แบบนี้คือไม่ได้ 
>>> Nice Try <<< ในที่นี้แปลกันแบบแซวกันเล่นระหว่างแอร์โฮสเตสและผู้โดยสารว่า "อย่ามาเนียนค่ะ" นั่นคือคำแปลตรงๆของบริบทนี้ แต่ความหมายจริงๆมันคือ เค้าต้องการจะบอกว่า ผู้โดยสารพยายามได้ดีมาก ในการหาที่เก็บของ "พยายามดีมากค่ะ แต่คือก็ยังวางตรงนี้ไม่ได้อยู่ดีนะคะ" #ฮาาาาาาา 

***ตอบคนช่างสงสัย ว่าอ้าวถ้าแอร์โฮสเตสเดินตรวจเรียบร้อยแล้ว(ต้องตรวจจริงๆนะ ไม่ไช่เดินผ่านไปเฉยๆไม่พูดอะไร คือเห็นแล้วว่ามีแลปทอปวางอยู่แต่ไม่บอกผู้โดยสารให้เก็บให้เรียบร้อย แบบนี้คือไม่ใช่และ) เครื่องพร้อมขึ้นแล้ว แต่ผู้โดยสารคนนี้ดื้อ หยิบเอาแลปทอปออกมานั่งเล่นหล่ะ ทำอย่างไร!? ตอบว่าใครจะไปทำอะไรได้ เพราะมันเป็นเรื่องของความรับผิดชอบส่วนบุคคล ต้องรู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ ถ้าดื้อแพ่ง แล้วคือเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา มันจะเป็นความรับผิดชอบของผู้โดยสารเองคนเดียวเลย อีกอย่างคือเมื่อแอร์โฮสเตสตรวจห้องโดยสารเสร็จแล้วก็ต้องไปนั่งรัดเข็มขัดนิรภัยเหมือนกัน ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีกเพียงเพื่อจะมาบอกเรื่องเก็บแลปทอป #โตๆกันแล้ว


determine
>>> determine <<< ในที่นี้คือ ตัวกำหนด ตัวตัดสิน ตัวชี้ขาด 
เป็นคำที่น่าสนใจ ถ้าใครคลิกเข้าไปอ่านแล้วจะรู้ว่ามีหลายตัวอย่างเลย "She's determined to become a flight attendant." เธอมีความมุ่งมั่นแน่วแน่ที่จะเป็นแอรฺโฮสเตสให้ได้ 

แต่ใน safety demo ตัวนี้เค้าใช้คำนี้เพื่อที่จะบอกว่าเมื่อไหร่ที่เราจะสามารถใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในไฟลท์ได้ โดยการดูจากป้ายสัญลักษณ์ที่ติดตั้งไว้บนเพดานในห้องโดยสาร ป้ายพวกนี้จะบอกหมด เมื่อไหร่ลุกไปเข้าห้องน้ำได้ เมื่อไหร่ห้ามลุกจากที่นั่ง เมื่อไหร่ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้ เป็นต้น

>>>Your inflight team or the sign above will determine when electronics may or may not be used during flight. <<< เลยแปลได้ตามที่อธิบายไว้แล้วข้างบนนี้เลย 

จบไปเรียบร้อยกับ Welcome on board : ตอนที่ 3 Turn it off หลักๆคือเน้นการปิดอุปกรณ์สื่อสารทุกชนิดก่อนเครื่องขึ้น - ลง รวมไปถึงการเก็บสัมภาระต่างๆให้เข้าที่เข้าทางก่อนเครื่องขึ้นนั่นเอง

แล้วมาเจอกันใหม่ตอนหน้ากับ Welcome on board : ตอนที่ 4 Breathe normally 

>>> Welcome on board : ตอนที่ 4 Breathe normally <<<

Safety Demo by Virgin America

Video Credit : Virgin America 


...........................................................................................



Welcome on board : Introduction 

Friday, June 19, 2020

"ถามมา - ตอบไป (Q&A)" ตอน กระเป๋าวางตรงไหน???

ประเดิมคอลัมน์ใหม่ "ถามมา - ตอบไป (Q&A)" กับคำถามที่เข้ามาสดๆเมื่อกี้ จากน้องคนไทยที่อยู่ประเทศญี่ปุ่น น้องถามมาว่า ...

"พี่คะ หนูมีเรื่องสงสัยค่ะ ถ้าเวลาหนูขึ้นเครื่องบิน แล้วกระเป๋าของหนู กระเป๋าถือของผู้หญิงอ่ะค่ะ จะเอาวางไว้ตรงไหนคะ"


ตรงประเด็น พี่เลิกอ่านหนังสือสอบเลย ลัดคิวมาตอบน้องก่อน #ฮาาาาา 

เวลาขึ้นเครื่องบิน นอกจากกระเป๋าใบใหญ่แบบ Suitcase/Luggage (กระเป๋าเดินทาง) ที่ต้องโหลดใต้เครื่องแล้ว ทุกคนต้องมีกระเป๋าขึ้นเครื่องแบบ Hand bag (กระเป๋าถือ), Cabin Bag (กระเป๋าเดินทางใบเล็ก) ที่เป็นไซส์สำหรับอนุญาตให้ลากขึ้นเครื่องได้ หรือบางคนมาแบบ กระเป๋าเป้สะพายหลัง (Backpack) ใบเดียวก็สามารถนะ

*** โปรดตรวจสอบกับสายการบินที่ท่านจะทำการบินด้วยก่อนทุกครั้งว่า ท่านสามารถพกกระเป๋าแบบไหนไปได้บ้าง เพื่อป้องกันการปวดหัวหน้าเค้าเต้อเช็คอิน ***

กระเป๋าถือของน้อง เมื่อขึ้นไปบนเครื่องแล้ว น้องสามารถวางได้ 2 ที่
- Overhead Stowage บนที่เก็บของเหนือศรีษะ
- Under the seat ใต้ที่นั่งด้านหน้า (ยกเว้นแถวที่นั่งที่อยู่ตรง Emergency Exits คือ ห้ามวางทุกสิ่งอย่างช่วงเครื่องขึ้น - ลง)

พี่จะช่วยเพิ่มคำถามให้เรา  >>> วางไว้บนตักได้มั๊ยคะ? 
คำตอบมีอยู่ 2 แบบ ได้ กับ ไม่ได้ 

เมื่อไหร่ที่สามารถวางกระเป๋าบนตักได้ 
- หลังจากเครื่องขึ้นแล้ว
- หลังจาก seat belt sign goes off คือ สัญญาณไฟรัดเข็มขัดดับลง (***)

เมื่อไหร่ที่ไม่สามารถวางกระเป๋าบนตักได้
- ก่อนเครื่องขึ้น
- ก่อนเครื่องลง

มันมีที่มาที่ไปว่าทำไมต้องอะไรกันขนาดนี้กับแค่กระเป๋าถือเนี่ย บอกเลยว่าผู้หญิงเรารักกระเป๋ายิ่งชีพ ได้ข่าวว่ากระเป๋าบางใบซื้อตั๋วเครื่องบินได้ 10 เที่ยว ก็พอเข้าใจ แต่ราคาค่างวดของกระเป๋าและสิ่งของที่อยู่ในกระเป๋า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับ "Safety and Precautions"

เดี๋ยวจะยกตัวอย่างให้ดูว่าทำไมห้ามวางกระเป๋าบนตักตอนเครื่องขึ้น - ลง 
- เรานั่งรัดเข็มขัดนิรภัย ปลอดภัยดี แต่เราวางกระเป๋าถือของเราไว้ที่ตัก ระหว่างเครื่องขึ้น - ลง เกิดมีการขัดข้องทางเทคนิค เครื่องไถลออกนอกรันเวย์ หนทางขรุขระเครื่องบินกระเด้งขึ้นๆลงๆ ตัวเรานั่งติดอยู่กับที่เพราะเข็มขัดนิรภัยช่วยไว้ ถามว่ากระเป๋าบนตักเราไปอยู่ตรงไหน!?

- กระเป๋าบนตักเรา ถ้าไม่ฟาดหน้าเรา ก็ไปฟาดหัวคนอื่น กระเป๋าเรามันจะเป็นอันธพาลครองเมืองไปทั่วห้องโดยสารเลย แล้วมันจะไปจอดอยู่บนพื้นทางเดิน ซึ่ง ถ้าเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน แล้วทุกคนต้องรีบอพยพออกจากเครื่องบินให้เร็วที่สุดภายใน 90วินาที (คือเวลาที่การบินสากลเค้าเซทมาแล้วว่าอยู่ในโซนปลอดภัย) บางคนกระโดดข้ามกระเป๋าน้องได้ แต่บางคนจะสะดุดล้ม และเมื่อเค้าล้ม คนข้างหลังก็ล้ม คงไม่ต้องบรรยายต่อนะ ประเด็นสำคัญคือ กระเป๋าที่ว่านี่ ไม่ใช่มีแค่ใบเดียว มีของคนอื่นด้วย นึกภาพออกมั๊ย

>>> ที่นั่งผู้โดยสารที่สำคัญที่สุดคือ ที่นั่งใกล้ Emergency Exits ทั้งหลาย กับที่นั่งแถวแรกของแต่ละ Cabin (ห้องโดยสาร) เพราะบริเวณนี้คือเป็นจุดที่ต้องเคลียร์ทุกสิ่งอย่างเผื่อเกิดกรณีเหตุฉุกเฉิน โดยเฉพาะเวลาเครื่องขึ้น - ลง <<<

พี่เข้าใจนะ เพราะกระเป๋าถือของผู้หญิงเนี่ย นอกจากจะเป็นรุ่น Limited Edition มีแค่ 999 ใบทั่วโลก ยังมีเงินสดอยู่ในกระเป๋าอีก 10 ล้านบาท เครื่องเพชร 79 กะรัต  iPhone15X Plus อีก 3 เครื่อง พี่จะให้หนูเอาไปวางไว้บนช่องเก็บของเหนือศรีษะหรือใต้ที่วางเท้าได้อย่างไรคะ!!!

ว่าแล้วก็ขอเตือนท่านผู้โดยสารทุกท่าน "กรุณาเก็บเงินสด และของมีค่าต่างๆไว้กับตัวท่านเท่านั้นค่ะ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการสูญหายระหว่างการเดินทางค่ะ" คนที่เดินทางบ่อยๆหรือคนที่ระวังตัวและรู้ว่าขโมยนั้นมีทุกที่ เวลาเดินทางบนเครื่องบิน ให้สังเกตุดีๆคนพวกนี้จะมีกระเป๋าสะพายเล็กๆติดตัว แบบแนบตัวเลยอยู่ที่หน้าอก ไม่รบกวนการรัดเข็มขัดนิรภัยแต่อย่างใด นั่นคือการเก็บของมีค่าของเค้าที่แยกจากกระเป๋าที่เค้าเอาไว้บน overhead stowage หรือใต้ที่นั่งด้านหน้า เค้าจะไปเข้าห้องน้ำหรือที่ไหน หรือแม้แต่เค้านอน ของมีค่าก็อยู่ที่ตัวเค้า

***เพิ่มเติมเรื่องการขโมยของบนฟ้า ขอบอกว่ามีมานานแล้ว และมีทุกสายการบิน มีทั้งแบบลูกเรือด้วยกันเอง ผู้โดยสารปกติ และผู้โดยสารมืออาชีพที่ซื้อตั๋วขึ้นมาเพื่อมาขโมยของโดยเฉพาะ เค้าทำกันเป็นทีม และบอกเลยว่าทีมนี้ International and professional สุดๆ ขโมยเนี่ยฉลาดนะ บอกไว้ก่อน เพราะเค้ามองเรามาตั้งแต่แรก ตามเรามาตั้งแต่ ATM ในแอร์พอรต์ ใน Duty Free รู้หมดเรามีเงินเท่าไหร่ ใส่ไว้ตรงไหน โอยยยย ยาว ไว้ค่อยเอามาเขียนใหม่เรื่องนี้ ถ้าอยากอ่านกัน

อย่าลืมว่ากระเป๋าที่บอกว่าไม่ให้วางบนตักอ่ะ มันแค่ช่วงเครื่องขึ้น - ลงเองนะ ไม่ใช่ทั้งไฟลท์ มันคือการป้องกันไว้ก่อน แค่นั้นเอง ผู้โดยสารควรให้ความร่วมมือกับแอร์โฮสเตสในเรื่องนี้ เพราะความปลอดภัยมันไม่ใช่ของใคร มันของตัวผู้โดยสารเองล้วนๆ 


หลังจาก seat belt sign goes off คือ สัญญาณไฟรัดเข็มขัดดับลง (***) ใส่ดาวไว้เพราะจะมาขยายต่อนิดหน่อย ทำไมต้องรอให้สัญญาณไฟรัดเข็มขัดดับลงก่อน เพราะบางคนคือรีบลุกหยิบเลย ล้อเพิ่งยกขึ้นจากพื้นงี้ "อ้าวก็พี่บอกว่าหลังเครื่องขึ้นไง" จ้าาา ประเด็นคือ นักบินเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่จะบอกได้ว่าเมื่อไหร่ผู้โดยสารควรจะขยับแบบไม่เกิดการเจ็บตัวใดๆทั้งสิ้น จึงเป็นที่มาว่า รอให้สัญญาณไฟรัดเข็มขัดดับลงก่อนดีกว่า ค่อยเปิด overhead stowage หยิบกระเป๋าลงมา หรือถ้าเราเอากระเป๋าลงมาวางบนตักเรียบร้อยสบายใจ แต่จู่ๆคือกัปตันเปิดสัญญาณไฟรัดเข็มขัด หลังจากนั้นก็รถไฟเหาะตีลังกาดีๆนี่เอง แบบนี้ก็นอกจากจะรัดเข็มขัดนิรภัยให้ตัวเองเรียบร้อยแล้ว น้องควรจะโยนกระเป๋าไปไว้ใต้ที่นั่งด้านหน้าของน้องอย่างรวดเร็วด้วยนะ อย่าลุกขึ้นเด็ดขาด ถ้าไม่อยากวัดเพดานเครื่อง  #ชัดเจน

ขอบคุณคำถามดีๆจากน้องเมย์ from Japan จ้าาาาาา ถามมาอีกนะ ชอบบบบบบบ

"Have a safe flight."



Picture Credit : https://nobagsblog.wordpress.com/ ...........................................................................................................................


"ถามมา - ตอบไป (Q&A)" ตอน นั่งตรงไหนในเครื่องบิน แล้วจะไม่ติดCOVID-19

Thursday, June 18, 2020

Welcome on board : ตอนที่ 2 Put your seat belt on

***โปรดทำความเข้าใจก่อนอ่าน***

1. "Welcome on board" จัดทำขึ้นมาโดยคำแนะนำของอาจารย์เกรียงไกร ทองชื่นจิต อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาต่างประเทศของโรงเรียนราชีนีบูรณะ จ.นครปฐม เพื่อเป็นสื่อการเรียนการสอนเพิ่มเติมด้านวิชาภาษาอังกฤษให้กับทางโรงเรียนราชีนีบูรณะ จ.นครปฐม และสำหรับบุคคลที่สนใจทั่วไป ห้ามมิให้ทำการดัดแปลง ตัดต่อ หรือเพิ่มเติมเนื้อหาโดยไม่ได้รับอนุญาต


2. Safety Demo ชุดนี้ จัดทำโดยสายการบิน Virgin America ผู้เขียนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดทำหรือตัดต่อใดๆทั้งสิ้น หากเพียงแต่นำมาเป็นข้อมูลใช้ในการเขียนเพื่อให้ความรู้ในเรื่องของการบินเท่านั้น


3. อุปกรณ์นิรภัยและทางออกในกรณีฉุกเฉินที่เห็นใน 
Safety Demo ชุดนี้ ใช้ได้เฉพาะเครื่องบินรุ่นที่สายการบิน Virgin America  ใช้บินเท่านั้น ผู้อ่านควรให้ความสนใจในการดู safety demo ทุกครั้งที่บินกับสายการบินอื่นๆ เนื่องจากแต่ละสายการบินนั้นใช้เครื่องบินต่างรุ่นกัน ทางออกฉุกเฉินรวมไปถึงอุปกรณ์นิรภัยต่างๆที่ใช้ในยามฉุกเฉินนั้นอาจไม่เหมือนกัน

4. ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าผู้อ่านจะได้เกร็ดความรู้ไม่มากก็น้อยทั้งในเรื่องของภาษาอังกฤษและความรู้ทั่วไปในเรื่องของการบิน ทั้งนี้ทั้งนั้น ขอให้ผู้อ่านทุกท่านที่ต้องเดินทางไป-กลับโดยเครื่องบิน มีความราบรื่นและปลอดภัยตลอดการเดินทาง "Safe flight always" ~


....................................................................................

มาปั่นกันต่อกับคอลัมน์ Welcome on board : ตอนที่ 2 Put your seat belt on อัดเต็มที่ ชดเชย 5 ปีที่หายไป มาดูว่าใครจะเหนื่อยก่อน ผู้อ่านอ่านเหนื่อย หรือผู้เขียน collapse คาคอม 

เท้าความอีกเช่นเคย มันหายไปนานเลยต้องรื้อฟื้นความทรงจำกันหน่อย ใครกดมาครั้งแรกที่ตอนนี้เลยแนะนำให้ไปอ่านตอนที่ 1 ก่อน มันจะได้ต่อเนื่องและไม่งงนะเด็กน้อย 

>>> Welcome on board : ตอนที่ 1 Are you ready? <<<




Welcome on board : ตอนที่ 2 Put your seat belt on จะเริ่มตั้งแต่นาทีที่ 0.54 ไปจบที่นาทีที่ 1.19 เนื้อเพลง(Lyrics)ของตอนนี้ มีอยู่ว่า 

>>> For the 001 percent of you who have never operated a seat belt before. 

Really? !? I mean, it works like this

Insert the metal end into the buckle until it clicks and pull on the loose end to tighten making sure it fits low and tight across your lap. 

There you go. 

To open, lift on the top of the buckle. 

And remember, seat belts should be fastened whenever you’re seated just in case of unexpected turbulence or weather conditions.<<<

14 คำตัวหนาที่เลือกมาขยายสำหรับตอนที่ 2 นี้ และใน 14 คำนี้จะมีอยู่ 2 คำที่จะเอามาขยายพร้อมกัน เพราะมันคือเรื่องเดียวกัน คือคำว่า tight/tighten กับ unexpected turbulence/weather conditions พร้อมแล้วไปกันเลย

operated ตัวนี้อยู่ในรูปคำกริยาช่อง 3 Past Participle สังเกตุกันได้ง่ายว่ามี have อยู่ข้างหน้า ส่วน never นั่นมาทำให้เป็นรูปปฏิเสธเฉยๆ มาดูคำว่า "Operate" กัน คลิกได้เลย

 >>> Operate 

มีรูปแบบการใช้ที่เยอะมากจริงๆ แต่ที่เราจะเอามาพูดกันที่นี้คือการ operate a seat belt คือ วิธีการใช้เข็มขัดนิรภัย นั่นเอง operate ในที่นี้พูดเป็นภาษาอังกฤษง่ายๆได้ว่า "to use it" (วิธีการใช้)

***เวลาพวกเรามาบินแล้วจะเจอคำว่า operate นี่เยอะอยู่

- operate the flight/block เรียกกันแบบภาษาแอร์โฮสเตส(แล้วแต่สายการบิน) มันก้อคือการทำไฟลท์ ทำไฟลท์คือ ไปบินไฟลท์นี้หรือไปบินบล็อค (Block)นี้ เช่น operate Bangkok flight คือไปทำไฟลท์กรุงเทพ/บล็อคกรุงเทพ เป็นต้น

- operate emergency equipment / equipment on board คือการใช้อุปกรณ์นิรภัยในกรณีฉุกเฉินต่างๆ / อุปกรณ์บนเครื่องบิน เช่น operate Fire Extinguisher คือการใช้ถังดับเพลิง operate the oven การใช้ตู้อบอาหาร

"For the 001 percent of you who have never operated a seat belt before." เลยแปลว่า "สำหรับคนส่วนน้อย (001 percent คือ 0.01% คือจะบอกว่าคนส่วนน้อยมากๆ) ที่ไม่เคยใข้เข็มขัดนิรภัยมาก่อน"

operate ที่ไม่เกี่ยวกับการบินที่พอนึกออกก็มีอยู่ 2 คำนะ 
- operate (Verb) ผ่าตัด
- operation (Noun) การผ่าตัด

like this เอามาขยายด้วยเผื่อมีคนงง เพราะทุกคนรู้แน่นอนว่าคำว่า 'like' เนี่ย คำกริยามันแปลว่า 'ชอบ' ยังมีคำอธิบายอีกเยอะกับคำว่า 'like' แนะนำให้คลิกแล้วไปทำความเข้าใจเอา 

>>> Like

ในที่นี้ like this แปลว่า แบบนี้ / อย่างนี้ ถ้า like that คือ แบบนั้น / อย่างนั้น 
- เด็กน้อยกะลังพยายามจะรัดเข็มขัดนิรภัยให้ตัวเองก่อนเครื่องขึ้น แต่คือรัดไม่เป็น กลับหัวกลับหาง คุณแม่อยากให้เด็กน้อยเรียนรู้ด้วยตัวเอง ไม่ทำให้ ก็เลยชี้ไปที่คุณพ่อที่รัดเข็มขัดเรียบร้อยแล้วบอกลูกว่า "Don't do it like this, do it like that." เด็กน้อยมองตามแล้วก็รัดเข็มขัดให้ตัวเองจนได้

"Really? !? I mean, it works like this." เลยแปลว่า "จริงเหรอ ฉันหมายถึงว่า มันทำ(ใส่)แบบนี้ (ในที่นี้คือต่อมาจากประโยคข้างหน้าว่า เข็มขัดนิรภัยเค้าใส่กันแบบนี้)"

Insert เป็นคำกริยา แปลว่า ใส่ / สอดใส่ / ใส่เข้าไป คำอธิบายเพิ่มตามนี้เลย

>>> Insert

บนเครื่องบินนี่มีคำว่า insert อยู่คำนึงนะ "Oven Insert" มันคือคล้ายๆถาดเป็นชั้นๆ ที่อยู่ในตู้อบอาหารบนเครื่อง เอาไว้อุ่นอาหารให้ผู้โดยสารรับประทาน แล้วแต่ว่าสายการบินจะจัดอาหารมาแบบไหน ถ้าแบบกระทัดรัดก็ถาดนึงวางกล่องอาหารให้อุ่นได้ 4 กล่อง ขึ้นอยู่กับว่าเครื่องบินใช้เตาอบรุ่นไหน เพราะรุ่นที่ใช้กันอยู่ของสายการบินพี่คือ เป็นตู้อบอาหารที่มีถาดอยู่ 8 ชั้น เพราะฉะนั้น ตู้อบ 1 ตู้อุ่นอาหารได้ 32 กล่อง 

metal end ในที่นี้คือฝั่งที่ไม่ใช่หัวเข็มขัดนิรภัย Metal คือบอกว่าทำจากโลหะ end คือจะบอกว่ามันเป็นส่วนปลายของสายรัดเข็มขัด metal end ก้อคือสายรัดเข็มขัดอีกฝั่งนึงที่จะเอามาติดกับหัวรัดเข็มขัดนั่นเอง

pull เป็นคำกริยา แปลว่า ดึง คำว่า pull นี่แนะนำอย่างมากว่าให้กดไปอ่าน เพราะเอาไปใช้กับตัวอื่นได้เยอะมาก 

>>> Pull 

*** เวลาเราจะเดินเข้า-ออกประตูร้านที่ไหน ถ้าลองสังเกตดีๆจะเห็นสติ๊กเกอร์ติดอยู่แถวที่เปิดประตู ถ้าไม่เห็นคำว่า "Pull - ดึง" ก็จะเห็นคำว่า "Push - ผลัก" ให้ดึงเพื่อเปิดประตู หรือผลักเพื่อเปิดประตูใช่มั๊ยหล่ะ เชื่อมั๊ยว่าหลายคนทำตรงข้ามกัน เค้าให้ดึง ก็ไปผลัก เค้าให้ผลัก ก็ไปดึง สรุปเปิดได้มั๊ยอ่ะประตูอ่ะ

*** นึกถึงคำที่น่าสนใจขึ้นมา "Push and Pull" คือ ยื้อกันไปมา คนนึงผลักคนนึงดึง ถ้าเอาไปใช้กับคนเป็นแฟนกันก็นั่นหน่ะ ภาษาไทยเค้าว่าอะไรนะ "ง้องแง้ง" ทะเลาะอะไรกันก็ไม่รู้อยู่ 2 คน เรียกว่าเป็น Push and Pull Game ได้เลย

loose end ในความหมายของ safety demo นี้ คือ สายเข็มขัดที่เป็นส่วนปลาย ในที่นี้คือเป็นเส้นเดียวกันกับหัวเข็มขัดนั่นเอง เค้าเรียกว่า loose end ส่วนความหมายของ loose ในแบบอื่นๆคลิกด้านล่างนี้ได้เลย

>>>Loose

***มันมี loose end ในแบบอื่นๆอีกเช่น
- งานที่ยังไม่เสร็จสิ้น ยังไม่ปะติดปะต่อ รอการจัดการ อะไรแบบนี้
- เชือกผูกรองเท้า (shoelace) ทั้ง 2 ข้าง คือถ้ายังไม่ผูกให้เรียบร้อยนะ เค้าเรียก loose end

>>>Loose end <<< สำหรับผู้สนใจอยากลงลึกกับคำนี้ก็คลิกกันไป

tighten/tight 
tighten เป็นคำกริยา แปลว่า ทำให้แน่น/ผูกให้แน่น >>> Tighten
tight เป็น คำคุณศัพท์ แปลว่า แน่น / รัดแน่น / ผูกแน่น >>> Tight

"Insert the metal end into the buckle until it clicks and pull on the loose end to tighten making sure it fits low and tight across your lap." เลยแปลว่า "ให้สอดสายรัดเข็มขัดที่อยู่อีกฝั่งนึงเข้าไปที่หัวรัดเข็มขัดจนมันลงล็อคกัน แล้วดึงสายรัดเข็มขัดให้แน่นให้อยู่ตรงช่วงหน้าตักของเราพอดี" 

There you go. >>> There you go.
- เป็นคำพูดที่ใช่พูดประมาณว่า ถูกแล้ว / ถูกต้อง / ใช่เลย / อย่างนั้นแหละ 
- ใช้พูดเวลายื่นของให้คนอื่นก็ได้ "อ่ะ นี่ของคุณ" เป็นต้น เหมือนกับคำว่า Here you go.

Lift >>> Lift
ในที่นี้เป็นคำกริยา แปลว่า ยกขึ้น

"To open, lift on the top of the buckle." เลยแปลได้ว่า "ยกฝาของหัวเข็มขัดขึ้น" ถ้าดูจากในคลิบวีดีโอสาธิตแล้วจะเห็นชัดเลย 

Fastened ตัวนี้มากับ should be(ควรจะ) เลยอยู่ในรูปของ Verb ช่อง 3 Past Participle

>>> fasten 

แปลว่า ติด, มัด, ผูก ส่วนใหญ่จะใช้กับการรัดเข็มขัดนิรภัยซะส่วนใหญ่ จะขับรถ ลงเรือ ขึ้นเครื่องบิน มันมีเข็มขัดนิรภัยให้รัดหมดอ่ะ ก็จะ fasten seat belt กันไป 

Just in case >>> Just in case
แปลว่า ในกรณีที่ หรือแปลอีกอย่างได้ว่า เผื่อไว้ก่อน ตามตัวอย่างที่เห็นใน Link เลย

unexpected turbulence or weather conditions 2 คำนี้คืออยู่ในเรื่องเดียวกัน

Unexpected turbulence คือ เวลาที่นั่งเครื่องอยู่ดีๆแล้วมันเหวี่ยงขึ้นลงเหมือนเล่นรถไฟเหาะตีลังกาอ่ะ มาแบบนั้นเลย "Unexpected - ไม่คาดคิด" คือมาไม่ขออนุญาตใคร
Weather conditions คือ สภาพอากาศที่แปรปรวน เดาไม่ได้ เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก เดี๋ยวพายุเข้า แต่บนเครื่องบิน คำว่า weather conditions มันคือ unexpected turbulence ดีๆนี่เอง

"And remember, seat belts should be fastened whenever you’re seated just in case of unexpected turbulence or weather conditions." เลยแปลได้ว่า "อย่าลืมรัดเข็มขัดทุกครั้งเมื่อท่านนั่งอยู่กับที่ในกรณีที่เกิดสภาพอากาศแปรปรวน"

***Scope มันใหญ่มากคอลัมน์นี้ หน้ามืดเลยนั่งเขียนทั้งวัน ต้องขอบอกว่าอย่างนี้นะ ลิงค์ที่วางไว้ให้ออกไปศึกษาต่อกับคำศัพท์บางคำนี่คือแนะนำอย่างแรง เพราะคำๆนึงไม่ได้แปลตรงตัวแค่ความหมายเดียว ภาษาอังกฤษมันกว้างงงงงงงมาก แล้วถ้าพวกเราได้เข้าไปอ่านกันเอง มันได้ใจความกว่า และบางคนอาจจะจับอะไรได้มากกว่า 

Welcome on board : ตอนที่ 2 Put your seat belt on นี่นะ เรื่องรัดเข็มขัดนิรภัยล้วนๆ ความสำคัญคือเท่ากับชีวิต ใครจำข่าวได้บ้าง ถ้าไม่ปลายปีที่แล้วก็ต้นปีนี้ สายการบินหนึ่งคือกำลัง Take Off คือเครื่องขึ้นไปแล้ว ในที่นี้คือ ล้อเครื่องบินอ่ะขึ้นจากพื้นดินแล้ว แล้วก็น่าจะแป๊บเดียว คือตกลงมาแล้วไถลออกนอกรันเวย์ไปเลย เชื่อมั๊ย ไม่มีใครเป็นไรเลย เพราะทุกคนรัดเข็มขัดนิรภัยหมดเลย ง่ายๆแค่นั้นแหละ ชีวิตกับการรัดเข็มขัดนิรภัย น่าจะเคยเขียนไปแล้วว่าช่วงที่อันตรายที่สุดของการบินคือช่วงที่เครื่องบินทำการ Take Off / Landing นี่แหละ อยู่ในไฟลท์ถ้าสภาพอากาศแปรปรวน เขย่าไปมา ถ้าใครรัดเข็มขัดก็คือการนั่งรถไฟเหาะตีลังกาแบบปลอดภัย ใครไม่รัดเข็มขัดนิรภัยก็ขึ้นไปวัดเพดาน ลงมาวัดพื้น เป็นวิศวกรจำเป็นไปเลย เลือดตกยางออก อย่าลืมนะ ทุกครั้งที่ขึ้นเครื่องบิน >>>Please put your seat belt on<<<

เจอกันใหม่ตอนหน้า Welcome on board : ตอนที่ 3 Turn it off

>>> Welcome on board : ตอนที่ 3 Turn it off  <<< 


Safety Demo by Virgin America
Video Credit : Virgin America 

...........................................................................................


Welcome on board : Introduction